สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

“เจน4”ข้าวหงษ์ทอง ดึง Supply Chain Department ทำตลาด ตั้งเป้าปี 61 โกยยอดขายกว่า2,000ล้านบาท

ข้าวหงษ์ทอง (เจนเนอเรชั่นที่ 4) ปรับกระบวนทัพใหม่ ดึง Supply Chain Department  เพื่อทำการพัฒนาระบบ 3 เรื่องใหญ่ ปรับประมาณการยอดขายและการผลิต ผ่านระบบ Web Order System และการจัดการงาน Support ด้วยวิธี e-Filing และใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ข้อมูล  Data Analysis หวังเป้ายอดขายปี 2561 กว่า 2,000 ล้านบาท และอีก 3 ปี โตปีล่ะไม่ต่ำกว่า 15% ในทุกแบรนด์ของกลุ่มทั้ง หงษ์ทอง (ข้าวหอมมะลิ) หงษ์ทิพย์ (ข้าวหอมผสม) หงษ์ไทย (ข้าวขาว) และหงษ์ทองไลฟ์ (ข้าวกล้อง) โดยข้าวหงษ์ทอง ครองแชมป์ยอดขายกว่า 85% ของทั้งกลุ่ม

นายกัมปนาท มานะธัญญา กรรมการ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายข้าวแบรนด์ “ข้าวหงษ์ทอง” เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้บริหาร (เจนเนอเรชั่นที่ 4) ในการเข้ามาบริหารบริษัทฯ รับผิดชอบในการทำตลาดในประเทศเป็นหลัก ดูแลแบรนด์ของข้าวหงษ์ทองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หงษ์ทอง (ข้าวหอมมะลิ) หงษ์ทิพย์ (ข้าวหอมผสม) หงษ์ไทย (ข้าวขาว) และหงษ์ทองไลฟ์ (ข้าวกล้อง) ซึ่งได้เข้ามาบริหารได้สักระยะหนึ่ง และได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารจัดการมาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเพิ่มระบบให้มีประสิทธิภาพในการทำงานในด้านต่างๆ  เริ่มจากการคิดที่จะลดกระดาษของสำนักงาน เพราะมีค่าใช้จ่ายเยอะมากต่อเดือน จึงมีแนวคิดที่จะทำให้เอกสารส่วนมากให้ เป็น e-Filing แทน

ตั้งแต่ปี 2559  จึงได้เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ว่าต้องทำอะไรบ้าง เกี่ยวกับเรื่อง Supply chain จะทำอย่างไรให้เปลี่ยน เป็น Value chain ให้ได้  ซึ่งได้จัดองค์กรใหม่ เพิ่มฝ่าย Supply Chain Department  เพื่อทำการพัฒนาระบบ  โดยได้ทำ 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ เรื่องประมาณการยอดขายและการผลิต ผ่านระบบ Web Order System โดย Forecast ที่ต้องเริ่มทำเป็นเรื่องแรกๆ เนื่องจาก คลังสินค้าของเราไม่เพียงพอต่อรอบการขายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงมีสินค้าที่ไม่สามารถ ส่งได้ทันกำหนด เพราะการหมุนรอบสต็อก และการผลิตไม่ทัน เลยเริ่มให้พนักงานขายทำ FC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเก็บสต็อกสินค้า และสามารถลดค่าใช้จ่าย ได้ประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งปีได้ 3,000,000 บาท   และเพิ่มการหมุนของรอบสต็อกจาก 3 ครั้ง เป็น 4 ครั้ง รวมถึงส่งผลต่อเนื่องทำให้เพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานได้เกือบ 15% - 20%  จากกำลังการผลิตเดิม 4,000 ตันต่อเดือน  เป็น 5,000 ต่อเดือน

เรื่องที่สอง คือการจัดการงาน Support ด้วยวิธี e-Filing เริ่มจากลดการ Print Order จากลูกค้า ซึ่งแต่ละวันจะมีบิลออร์เดอร์เข้ามาไม่ต่ำกว่า 300 ใบ  และกระบวนการทำงานของแต่ละฝ่ายที่ต้องพิมพ์กระดาษออกมาอีกประมาณ  3 ชุด ทำให้เราต้องใช้กระดาษจำนวนมาก และปัญหาสำคัญคือพื้นที่การเก็บเอกสาร  จึงมีการวางระบบให้เป็นการเปิด order จากระบบ Web Order  แทน และตามด้วยการทำราคาและรายการส่งเสริมการขายของทีมขาย Modern Trade และ Traditional Trade  ให้อยู่ในระบบ เป็นต้น  ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด ลดขั้นตอน ความซับซ้อนและตรวจสอบได้ตามลำดับอำนาจอนุมัติ  เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่เสียเวลากับการทำเอกสาร   และรวมถึงได้ทำเรื่องงานของฝ่ายจัดซื้อการเปิด Purchase Request & Purchase Order  ให้อยู่ในระบบด้วยเช่นกัน 

นายกัมปนาท กล่าวต่อไปอีกว่า  เรื่องสำคัญเรื่องที่สามคือ การนำโปรแกรมการวิเคราะห์ข้อมูล  Data Analysis โดยจากการเปลี่ยนระบบการทำงานโดยใช้ e-Filing แล้ว ทำให้สามารถที่จะดึงข้อมูลนำมาประมวลผลได้ทันที ซึ่งรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น  ลดการทำงานแบบ Manual ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดจาก Human Error โดยได้เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการขายและการตลาด วิเคราะห์ผลตอบรับซึ่งจะช่วยให้การวางแผนงานขายและงานการตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น

“ในการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ “ข้าวหงษ์ทอง” ก็เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทที่มีเป้าหมายในปี 2561 ด้วยยอดขาย 2,000 ล้านบาท  และในอีก 3 ปีข้างหน้า วางแผนการเติบโตไว้ปีละไม่ต่ำกว่า 15 %  ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่วางแบรนด์สินค้าไว้ตาม Product Segmentation ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 แบรนด์คือ หงษ์ทอง (ข้าวหอมมะลิ)  หงษ์ทิพย์ (ข้าวหอมผสม) หงษ์ไทย (ข้าวขาว) และหงษ์ทองไลฟ์ (ข้าวกล้อง)  ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่ 85% คือข้าวหงษ์ทอง และรองลงมาคือข้าวสุขภาพ  โดยในปีนี้เราได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของข้าวสุขภาพถึง คือ ข้าว Zuper Rice ขนาด 1 กก. และข้าวหอมคุณภาพ100% ขนาด    5 กก. วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำแล้ว” นายกัมปนาท กล่าวสรุปในตอนท้าย

Political News