สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

ส่งออกรถยนต์ไทยปี62ขยายตัวเล็กน้อย1%ถึง4%เวียดนามตลาดรุ่ง ขณะที่ทวีปยุโรปยังเสี่ยงหดตัว

ประเด็นสำคัญ

  • -ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยปี 2562 น่าจะทำได้ประมาณ 1,150,000 ถึง 1,180,000 คัน ขยายตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 1 ถึง 4 จากปี 2561 ที่คาดว่าจะส่งออกรถยนต์ได้ 1,135,000 คัน
  • -ทั้งนี้ตลาดส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี คือ โอเชียเนีย และเอเชีย ที่ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่ที่มีโอกาสขยับขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 3 ของประเทศที่ไทยส่งออกรถยนต์ไปมากที่สุดในปี 2562 หลังปัญหา Decree 116 คลี่คลายลงบางส่วน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าไทยจะส่งออกรถยนต์ไปเวียดนามในปี 2562 ได้ดีขึ้นถึงร้อยละ 14 ถึง 22 คิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 61,000 ถึง 65,000 คัน
  • -ขณะที่ทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งค่ายรถมีการทยอยย้ายฐานการผลิตไปผลิตในกลุ่มประเทศเหล่านั้น เพื่อให้ได้ต้นทุนขนส่งที่ถูกลง และรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากข้อตกลงเสรีทางการค้า โดยเฉพาะทวีปยุโรปที่ปัจจุบันเห็นผลของการย้ายฐานเพิ่มมากขึ้นทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปี 2562 ไทยจะส่งออกไปทวีปยุโรปในระดับทรงตัวถึงหดตัวร้อยละ 4 คิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 118,000 ถึง 123,000 คัน

การส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2561 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าน่าจะหดตัวประมาณร้อยละ 0.5 จากปีที่แล้ว ด้วยตัวเลขส่งออก 1,135,000 คัน จากปัจจัยเข้ามากระทบที่ค่อนข้างหลากหลาย โดยปัจจัยลบ เช่น ผลจากภาวะเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวนกระทบความต้องการซื้อ ความไม่แน่นอนของค่าเงินและอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ที่ปล่อยควันเสียในสหภาพยุโรป รวมถึงการโยกย้ายฐานการผลิตไปใกล้ตลาดศักยภาพมากขึ้นทั้งในตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือ เป็นต้น ขณะที่ตลาดส่งออกก็มีปัจจัยบวกเข้ามา เช่น การฟื้นตัวของตลาดตะวันออกกลางหลังราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น การตอบรับที่ดีของตลาดส่งออกหลายประเทศต่อรถปิกอัพรุ่นใหม่จากไทย รวมถึงการกลับมาส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดศักยภาพใหม่อย่างเวียดนามได้อีกครั้ง หลังปัญหาจากมาตรการควบคุมการนำเข้ารถยนต์ผ่อนคลายลง เป็นต้น

สำหรับในปี 2562 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจัยที่กระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับในปี 2561 ส่งผลให้ตลาดหลักที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดียังคงเป็นตลาดโอเชียเนีย และเอเชีย โดยเฉพาะตลาดเวียดนาม ส่วนตลาดที่มีโอกาสหดตัวยังคงเป็นตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การส่งออกไปเวียดนามเติบโตก้าวกระโดด หลังปัญหา Decree 116 กับไทยเริ่มคลี่คลาย

นอกจากตลาดหลักเดิมอย่างโอเชียเนีย และเอเชียที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2562 นำโดยกลุ่มรถปิกอัพที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตหลักของโลก และสามารถนำเข้าไปเปิดตลาดได้ดีในหลายๆประเทศแล้ว เวียดนามได้กลายมาเป็นตลาดส่งออกรถยนต์หลักที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย และมีโอกาสเติบโตสูงในปี 2562 โดยภายหลังจากที่ไทยสามารถแก้ปัญหาจากการที่เวียดนามออกกฎหมายใหม่ Decree 116 เพื่อควบคุมการนำเข้ารถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ได้บางส่วน ส่งผลทำให้รถยนต์ที่ผลิตจากไทยสามารถส่งออกไปยังเวียดนามได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

อนึ่งในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทยประมาณ 36,600 คัน โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 724 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวสูงถึงประมาณร้อยละ 60.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ส่งผลให้เวียดนามขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของประเทศที่ไทยส่งออกรถยนต์ไปมากที่สุด เป็นรองเพียงออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และนิวซีแลนด์ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าตลาดรถยนต์นำเข้าจากไทยของเวียดนามมีโอกาสที่จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในระยะถัดไป โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่ง เนื่องจากมีรถยนต์นั่งหลายรุ่นที่มีการย้ายฐานผลิตมายังไทยเพื่อส่งออกไปยังเวียดนามโดยเฉพาะในช่วงก่อนหน้า ขณะที่รถปิกอัพเดิมก็ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอยู่แล้ว จึงทำให้รถปิกอัพไม่ได้รับผลเชิงบวกอย่างชัดเจน ประกอบกับการส่งออกรถปิกอัพจากไทยเพิ่งเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ทำให้การส่งออกรถปิกอัพจากไทยช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 ยังคงหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

สำหรับการส่งออกรถยนต์ไทยไปยังเวียดนามในปี 2562 คาดว่าน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการรถยนต์ในเวียดนามที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากประชากรในเวียดนามมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงผู้บริโภคในเวียดนามส่วนใหญ่มั่นใจในคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตในไทย จึงเป็นโอกาสให้การส่งออกรถยนต์จากไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกรถยนต์ไปเวียดนามในปี 2562 น่าจะมีโอกาสขยายตัวได้อีกกว่าร้อยละ 14 ถึง 22 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ไทยส่งออกไปเวียดนามเท่ากับประมาณ 61,000 ถึง 65,000 คัน จากที่คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 53,400 คันในปี 2561 หรือขยายตัวกว่าร้อยละ 44 จากปี 2560 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงานที่มีระดับเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี เนื่องจากมีระดับราคาที่จับต้องได้มากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ของเวียดนาม รวมถึงตอบรับต่อปัญหาระดับราคาน้ำมันที่สูงในเวียดนามได้อย่างดี ซึ่งผลของการส่งออกไปเวียดนามที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้เวียดนามมีโอกาสขยับอันดับแซงนิวซีแลนด์ขึ้นมาสู่ประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้ารถยนต์จากไทยสูงเป็นอันดับ 3 ในปี 2562

การย้ายฐานการผลิตไปยังตลาดทวีปยุโรปมากขึ้น ทำให้การส่งออกจากไทยลดลง

แม้การย้ายฐานการผลิตรถยนต์มายังไทยเพื่อส่งออกไปยังตลาดหลักต่างๆ เช่น เวียดนาม จะส่งผลดีต่อการส่งออกรถยนต์ของไทย แต่การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกับตลาดส่งออกหลักของไทยบางแห่งซึ่งมีที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากไทย เช่น กลุ่มทวีปยุโรปนั้น กลับส่งผลในด้านลบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 พบว่าไทยส่งออกรถยนต์ไปทวีปยุโรปลดลงร้อยละ 13.2

แม้ว่าการส่งออกรถยนต์ โดยเฉพาะรถปิกอัพจากไทย จะได้รับผลจากการที่บางประเทศในทวีปยุโรป เช่น เยอรมนี ประกาศห้ามรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลในบางเมืองของประเทศ ส่งผลทำให้เกิดความหวาดวิตกของผู้บริโภคถึงแนวโน้มการแบนรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลไปในหลายพื้นที่ ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลลดลงจากอดีต อย่างไรก็ตามปัจจัยหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ามีผลต่อการส่งออกรถยนต์โดยรวมจากไทยไปทวีปยุโรปในช่วงที่ผ่านมาที่ลดลง คือ การเข้าไปตั้งฐานการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศในทวีปยุโรป และประเทศใกล้เคียง ซึ่งต่างก็มีการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีสำหรับการส่งออกรถยนต์ระหว่างกัน ทำให้ยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการส่งออกรถยนต์ระหว่างกันมากขึ้น และมีโอกาสจะดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคต ปริมาณการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศในทวีปยุโรปและประเทศใกล้เคียงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

                จากทิศทางดังกล่าวนี้ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจของกลุ่มที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกไปยังตลาดทวีปยุโรปในปี 2562 น่าจะทรงตัวถึงหดตัวลงกว่าร้อยละ 4 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออกจากไทยไปทวีปยุโรปที่ 118,000 ถึง 123,000 คัน จากที่คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 123,000 คันในปี 2561 หรือหดตัวกว่าร้อยละ 14 จากปี 2560 อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ไทยอาจยังมีโอกาสส่งออกไปทวีปยุโรปได้สูงกว่าที่คาดหากโครงการอีโคอีวีสามารถผลักดัน และทำให้เกิดเป็นรูปธรรมจนมีการลงทุนผลิต และออกวางจำหน่ายรวมถึงส่งออกได้จริงในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เนื่องจากรถยนต์ในกลุ่มอีโคอีวีน่าจะเป็นประเภทรถยนต์ที่สามารถเข้าไปบุกตลาดทวีปยุโรปที่เน้นหนักเรื่องการควบคุมปริมาณไอเสียจากรถยนต์ รวมถึงสนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกรถยนต์ไทยไปทวีปยุโรปได้ในอนาคตข้างหน้า  

โดยสรุป สำหรับตลาดส่งออกรถยนต์โดยรวมของไทยในปี 2562 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมองว่าน่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหลายด้าน เมื่อเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศต้องเจอกับผลกระทบจากภาวะสงครามการค้าโลก ความผันผวนของอัตราค่าเงินในประเทศคู่ค้า และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในหลายๆประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนสูง ไม่เพียงเท่านี้การย้ายฐานการผลิตรถยนต์เข้าใกล้ตลาดมากขึ้น เพื่อการลดต้นทุนขนส่ง รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในบางกรณีอาจส่งผลลบต่อการส่งออกรถยนต์ไทย เช่น ทวีปยุโรปดังกล่าวถึงมาแล้ว หรือทวีปอเมริกาเหนือที่จะมีผลในระยะถัดไปด้วย หลังความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (United States-Mexico-Canada Agreement: USMCA) ซึ่งมีการตั้งข้อกำหนดเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้ารถยนต์ที่เข้มงวดขึ้นมาก และมุ่งเน้นให้เกิดการผลิตในกลุ่มประเทศสมาชิก จะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งจะกระทบกับการส่งออกไทยตั้งแต่ช่วงปี 2562 จากการลงทุนของค่ายรถในประเทศสมาชิก USMCA มากขึ้น

อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกบางกลุ่มที่ค่ายรถวางไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไป เช่น โอเชียเนีย และเอเชียนั้น ต่างยังคงมีแนวโน้มตอบรับต่อรถยนต์ที่ผลิตจากไทยได้ดีในปี 2562 โดยเฉพาะเวียดนาม ที่หลังจากปัญหา Decree 116 คลี่คลายลงไปบางส่วน การส่งออกรถยนต์จากไทยก็พุ่งขึ้นสูงมาก ซึ่งคาดว่ายังมีแนวโน้มดำเนินต่อในปี 2562 นี้ ผนวกกับทิศทางการลงทุนผลิตรถยนต์ในไทยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า และการผลักดันโครงการอีโคอีวีของทุกภาคส่วน อาจจะช่วยกระตุ้นการส่งออกรถยนต์จากไทยไปยังประเทศคู่ค้าที่ต้องการรถยนต์ประเภทนี้ได้ ทำให้โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกรถยนต์ไทยปี 2562 มีโอกาสที่จะขยายตัวเล็กน้อยที่ประมาณร้อยละ 1 ถึง 4 จากปี 2561 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออกประมาณ 1,150,000 ถึง 1,180,000 คัน เพิ่มขึ้นจากที่คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 1,135,000 คันในปี 2561 นี้

Political News