สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

KTIS ปิดปี 61 มีกำไรสุทธิ 629.3 ล้านบาทบอร์ดเคาะจ่ายปันผลหุ้นละ 0.15 บาท

กลุ่ม KTIS ปิดรอบบัญชีปี 61 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน (9 เดือน) ด้วยรายได้ 18,067.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 629.3 ล้านบาท คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอจ่ายปันผลหุ้นละ 0.15 บาท เผยสายธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลโตเด่นสุด  มีรายได้ 1,131.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 93.8% แม้ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกลดลงประมาณ 30%  แต่กลุ่ม KTIS ปูทางสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมต่อเนื่องไว้แล้ว ยืนยันเดินหน้าสร้างอ้อยป้อนให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอีก

            นายประพันธ์  ศิริวิริยะกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ใช้รอบระยะเวลาบัญชีใหม่ (1 ตุลาคม ถึง 30 กันยายน) โดยผลการดำเนินงานประจำปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 (9 เดือน) มีรายได้รวม 18,067.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 629.3 ล้านบาท

            “คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันที่ 25 มกราคม 2562 เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดการดำเนินงาน 1 มกราคม ถึง 30 กันยายน 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562” นายประพันธ์กล่าว

ทั้งนี้ สายธุรกิจที่มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ปี 2561 (9 เดือน) ซึ่งมีรายได้ 1,131.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.8% เมื่อเทียบกับรายได้ปี 2560 (12 เดือน)  เนื่องจากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่เพิ่มขึ้นทำให้มีชานอ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถขายไฟฟ้าได้มากขึ้น 87.7% อีกทั้งราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยต่อหน่วยก็เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับรายได้ (9 เดือน) จากสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อยมีจำนวน 1,216.6 ล้านบาท สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล มีรายได้ 1,313.4 ล้านบาท ส่วนสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย มีรายได้ 13,056.9ล้านบาท  โดยสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจต่างๆ เมื่อเทียบกับรายได้รวม ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2561 (30 กันยายน 2561) ปรากฏว่า สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย มีสัดส่วน 75.4% ในขณะที่สายธุรกิจชีวภาพมีสัดส่วน 24.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 22.9%

            นายประพันธ์กล่าวเสริมว่า “กลุ่ม KTIS ได้วางรากฐานในการลดความเสี่ยงของการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ตามแนวนโยบาย KTIS - More Than Sugar ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำตาลทรายที่ผันผวนได้มาก ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม KTIS ที่มีจุดเด่นในการจัดหาอ้อย ยังคงเป็นจุดแข็งที่จะทำให้กลุ่ม KTIS สามารถนำอ้อยไปเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างมูลค่าเพิ่มในสายอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ  ได้อีกมาก”

Political News