สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

โลกการเงินเพื่อความยั่งยืนจะมีสีสันและหลากหลายมากขึ้น จากตราสารหนี้ในธีมต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น มากไปกว่าสีเขียว

  • ในตลาดตราสารหนี้ในโลกการเงินเพื่อความยั่งยืนมีตราสารหนี้อื่นๆ ที่มากกว่าตราสารหนี้สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้สีฟ้า ตราสารหนี้สีส้ม หรือตราสารหนี้แรดดำ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าอนาคตคงได้เห็นตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนที่หลากหลายสีจนอาจกลายเป็นสีรุ้ง

o             Blue Bonds ตราสารหนี้ที่ระดมทุนเพื่อนำมาใช้กับโครงการเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเล

o             Orange Bonds ตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือความหลากหลายทางเพศ

o             Rhino Bond ตราสารหนี้เพื่อการอนุรักษ์แรดดำ

  • ความท้าทายที่ตลาดตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนต้องเผชิญแตกต่างไปจากตราสารหนี้แบบทั่วไป ทั้งตลาดที่อยู่ในระยะเริ่มต้น การวัดและประเมินผลกระทบซึ่งรวมถึงต้นทุน และมาตรฐานสากลในปัจจุบันที่ยังกระจัดกระจายรอการดำเนินการต่อไป

ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน: การระดมทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์

ในปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนโลกมีมูลค่าถึง 1.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และแม้ว่าตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) จะมีสัดส่วนถึง 64% ของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนทั้งหมด โดยตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนสีอื่น ๆ มีมูลค่ารวมกัน 3.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของตราสารหนี้สีเขียว

อย่างไรก็ดี ความหลากหลายนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนนั้นกำลังเติบโต ในความที่ปัจจุบันมุมมองของตลาดและนักลงทุนได้เปลี่ยนแปลงไปจากเก่า จากผลการสำรวจจาก Stanford ในปี 2566 นั้น 60% ของนักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ได้ลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่มุ่งหวังที่พัฒนาสังคมและโลกให้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กันได้ จึงไม่น่าประหลาดใจเท่าใดนักหากเราจะเห็นสีสันใหม่ ๆ เกิดขึ้นในตลาดการลงทุนสมัยใหม่นี้

ทำความรู้จักกับตราสารหนี้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย

ปัจจุบันในโลกการเงินเพื่อความยั่งยืนนี้ไม่ได้มีแต่เพียงเฉดสีเขียวของ Green Bonds เท่านั้น หัวใจหลักของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนนี้คือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อระดมทุนแก่โครงการที่มีเป้าหมายสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นรูปธรรมต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมการสร้างผลกำไรด้วย

o             เริ่มต้นกันที่ Blue Bonds หรือ ตราสารหนี้สีฟ้า เป็นตราสารหนี้ที่ระดมทุนเพื่อนำมาใช้กับโครงการเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะ โดยมีหลักการเช่นเดียวกับ Green Bonds ซึ่งตั้งแต่ปี 2561-2565 ตลาด Blue bonds มีมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าจะมีมูลค่าน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่า Green bonds ในช่วงปีเดียวกัน แต่อาจเรียกได้ว่า Blue Bonds อยู่ในสถานะคล้ายกับ Green bonds เมื่อ 15 ปีที่แล้ว 

Blue Bond รุ่นแรกของโลกออกโดยประเทศเซเชลส์ (Seychelles) เมื่อตุลาคมปี 2561 และในช่วงแรกผู้ออกตราสารหนี้หลักในตลาดมักเป็นองค์การระหว่างประเทศเช่น World Bank ADB แต่ในช่วงต่อ ๆ มานี้เริ่มมีเอกชนทั้งภาคการเงินและภาคอุตสาหกรรมเข้ามาอยู่ในตลาดเพิ่มขึ้น อาทิ Bank of China, Bank of America หรือแม้แต่ Mowi บริษัทเอกชนรายใหญ่ในนอร์เวย์ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารทะเล และ Ørsted บริษัทพลังงานแห่งแรกที่ออก Blue Bond

3 ใน 4 ของโลกประกอบไปด้วยน้ำ เรียกได้ว่า โอกาสในตลาดสีฟ้านี้กว้างขวางนัก อีกทั้ง OECD ยังประมาณการไว้ว่า ขนาดเศรษฐกิจสีฟ้านั้นจะมีมูลค่าถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2573 เรียกได้ว่า ยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับการเติบโตของตราสารหนี้สีฟ้าในตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืน หรือ Blue bonds อาจมาเป็น the new Green bonds ได้

o             Orange Bonds หรือตราสารหนี้สีส้ม2 อาจเป็นตราสารหนี้ที่หลายคนไม่คุ้นหูนัก เป็นตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือความหลากหลายทางเพศ โดย Women’s Livelihood BondTM (WLB) Series ถือว่าเป็นตราสารหนี้สีส้มชุดแรกของโลก ซึ่งจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 2560 โดย Orange Bond Initiative ซึ่งมีรัฐบาลออสเตรเลียเป็นหัวหอกหลัก

นับตั้งแต่ตราสารชุดแรก WLB1 จนถึงปัจจุบัน WLB6 ได้ระดมทุนกว่า 228 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนของผู้หญิงและเด็กรวมแล้วกว่า 2.6 ล้านคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา 7 ประเทศ และใน 6 ภาคส่วน ได้แก่ การเกษตรยั่งยืน พลังงานสะอาด น้ำและสุขาภิบาล ที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และ Microfinance

หลายท่านอาจตั้งคำถามว่า ตราสารหนี้สีส้มนี้อัตราผลตอบแทนเป็นอย่างไร แล้วจะวัดผลการดำเนินการได้อย่างไร อัตราผลตอบแทนของ WLB นั้นอยู่ระหว่าง 5-7% และในการวัดผลของ WLB นั้น จะกำหนดจำนวนเงินและจำนวนผู้หญิงที่จะได้รับความช่วยเหลือ ทั้งนี้ WLB ตั้งเป้าประสงค์ว่า ภายในปี 2573 จะระดุมทุนให้ได้ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้หญิงและเด็กจำนวน 100 ล้านคน

o             สุดท้ายที่ Rhino Bonds3 หรือตราสารหนี้เพื่อการอนุรักษ์แรดดำ เป็นการระดมทุนจำนวน 150 ล้านเหรียญสหรัฐของธนาคารโลก (World Bank) เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนประชากรแรดดำ เนื่องจากแรดดำตกอยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากจากการถูกล่าเพื่อนำนอแรดไปขาย

ใน 2 เขตอุทยานแห่งชาติที่แอฟริกาใต้ Addo Elephant National Park และ Great Fish River Nature Reserve และมีอายุครบกำหนด 5 ปี

ทั้งนี้ ที่น่าสนใจคือ Rhino Bond จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยแบบตราสารหนี้ทั่วไป แต่ให้ผลตอบแทนในลักษณะมุ่งผลลัพธ์ (Outcome-Based) เมื่อครบกำหนดอายุ 5 ปี ตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility) ดังนี้ 

หนึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ นักลงทุนใน Rhino Bonds ดังกล่าวซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ยอมรับความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย มากไปกว่านั้นยังยอมที่จะมองข้ามจำนวนผลตอบแทนที่อาจหายไปมูลค่าถึง 5.49 ล้านเหรียญสหรัฐ

ความท้าทายของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนที่มิใช่สีเขียว

o             ตลาดยังใหม่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาตลาด ในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีผู้เล่นหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายและไม่แน่นอน แต่รวมถึงความตระหนักรู้และข้อมูลที่น้อยในตลาดซึ่งรวมถึงการประมาณการอัตราผลตอบแทนความเสี่ยงและต้นทุนในการออกตราสารด้วย

o             การกำหนดและการวัดผลกระทบ หนึ่งในความท้าทายหลักคือความยากลำบากในการวัดผลกระทบเชิงปริมาณด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคมของโครงการ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุน ตอนนี้ผู้ออกตราสารหนี้ต้องสร้างกระบวนการเองและต้องหาองค์กรบุคคลที่สามมา verify ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการออกตราสารหนี้ด้วย

o             ขาดมาตรฐานที่เป็นสากล: ในปัจจุบันเรียกได้ว่ามาตรฐานสำหรับตราสารหนี้หลากสีมีความกระจัดกระจาย แม้ว่าเริ่มมีหลายองค์กรระดับโลกพยายามออกแนวทางมาเพื่อสนับสนุนตราสารหนี้หลากสีนี้ ซึ่งแตกต่างจาก Green Bonds ที่มีแนวทางกำหนดไว้ที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับระดับสากล

อนาคตของตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน

เนื่องจากปัจจัยที่มิใช่ตัวแปรทางการเงินได้เข้ามามีบทบาทกำหนดทิศทางผลิตภัณฑ์ทางการเงินไปเสียแล้ว ในช่วงเวลาอันใกล้ เราคงมีโอกาสได้เห็นตราสารหนี้ที่มีสีหลายหลากมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นสีรุ้ง ไม่ใช่แค่เพื่อลดคาร์บอนเพียงประการเดียว

เราคงอาจได้พบตราสารใหม่ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Tiger bonds4 ของ UNDP Mountain Bonds เพื่อดูแลเหล่าเทือกเขา หรือ Deforestation Bonds เพื่อดูแลผืนป่า การพัฒนาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาในหมู่นักลงทุนในการจัดพอร์ตการลงทุนของตนให้สอดคล้องกับคุณค่าทางจริยธรรมและความสนใจของพวกเขา ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตเกินกว่าเกณฑ์ ESG และในอนาคตอาจรวมถึงสาขาอื่นๆ เช่น ศิลปะและวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยซึ่ง Sustainability Bonds ได้รับความนิยมสูงที่สุด5 ความหลากสีในตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนล้วนเป็นโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสีฟ้าซึ่งมีมูลค่าถึง 30% ของ GDP ไทย6 หรือการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ หรือเราก็อาจเห็นการออกตราสารหนี้ใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับช้างไทยซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนเหล่านี้มีความหลากหลายมากและมีโอกาสพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น กฎระเบียบต่าง ๆ ต้องเร่งตามให้ทัน ซึ่งปัจจุบันเฉพาะ Green Bonds เท่านั้นที่มีกฎระเบียบที่บังคับใช้ที่ทุกฝ่ายจะต้องดำเนินการตาม แต่ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนประเภทอื่น ๆ ยังคงเป็นเพียง Framework หรือ Guideline เท่านั้น สุดท้ายแล้ว คงเป็นความท้าทายของหน่วยงานกำกับดูแลที่จะทำอย่างไรเพื่อลดการฟอกสีอื่น ๆ ไม่ใช่เฉพาะการฟอกเขียวเท่านั้น

Political News