สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

สศค.รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563

“เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2563 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัว การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563”

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2563 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2563 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นทั้งในด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศสะท้อนจากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัว การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 16.4 และ 10.6 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น โดยในเดือนธันวาคม 2563 รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัวร้อยละ 12.1 ต่อปี สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 2.8 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล หรือหดตัวในอัตราชะลอลง

จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ –4.4 ต่อปี อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.1 จากระดับ 52.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวร้อยละ 7.3 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 15.8 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์กลับมาขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงที่ร้อยละ -15.9 ต่อปี 

เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือนที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัวร้อยละ 63.6 และ 25.7 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกผักและผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร ที่ขยายตัวต่อเนื่อง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ โทรศัพท์และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เป็นต้น และ 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่กลับมาขยายตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และรถยนต์

เป็นต้น อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป และอัญมณีและเครื่องประดับยังคงลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ที่ร้อยละ 15.7 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปญี่ปุ่นและทวีปออสเตรเลียขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 14.9 และ 13.5 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปประเทศจีนและอินเดียกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ร้อยละ 7.2 และ 14.5 ต่อปี ตามลำดับ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี จากการลดลงในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องแต่งกาย และน้ำมันปิโตรเลียม เป็นสำคัญ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 85.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอลง อย่างไรก็ดี การผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนธันวาคม 2563 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศ จำนวน 6,556 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี และอังกฤษ นอกจากนี้บางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลีใต้ เเละประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ลดลงร้อยละ –31.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ -23.4 ต่อปี สำหรับภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเปลือก ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 50.5 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 258.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Political News