สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

ฮาบิแทท กรุ๊ป เผยอสังหาฯ เพื่อลงทุนยังโต ตอกย้ำ“ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์”

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” มองวิกฤตเป็นโอกาสชี้โควิด-19 สร้างเทรนด์วิถีชีวิตใหม่ หนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ของเมืองท่องเที่ยวได้รับการตอบรับดีขึ้น ตอกย้ำวิชั่นการดำเนินธุรกิจมาถูกทาง เผยพฤติกรรมผู้ซื้อเพื่อการลงทุนและเพื่ออยู่อาศัย เริ่มมองหาบ้านหลังที่สองไว้เป็นที่พักสำรองช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติต่อเนื่อง เผยยอดขายเดือนมิถุนายน 2563 พุ่ง 3 เท่า พร้อมคาดการณ์ยอดโอนรวมปี’63 กว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีที่แล้วกว่า 220%

 นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ผู้นำการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) และภาพรวมการลงทุนของบริษัทในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2563 ว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เป็นไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา ยังคงเติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง เพราะพัทยายังคงเป็น Top Destination ของนักท่องเที่ยว สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ที่มองถึงผลตอบแทนในระยะยาว โดยข้อดีของการลงทุนในรูปแบบนี้ นอกจากนักลงทุนจะได้อัตราผลตอบแทนที่ดี ด้วยความคุ้มค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น และสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถเข้าพักได้ 14 วันต่อปีอีกด้วย

โดยภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นปี 2563 และในเดือนเมษายน เริ่มมีสัญญาณไม่ดีนัก ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงของการล็อคดาวน์ประเทศที่ทุกคนต้องกักตัว ไม่ออกเดินทางไปไหน การตัดสินใจซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนในช่วงเวลานั้นจึงเริ่มมีการชะลอตัว บริษัทฯจึงได้ตัดสินใจออกโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ด้านการลงทุนและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ประกอบกับในช่วงดังกล่าวห้องชุดที่โอนกรรมสิทธิ์ไม่ผ่านมีอยู่ไม่ถึง 10% เท่านั้น

“เราออกโปรโมชั่นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากกว่าเดิม ในแบบที่ลูกค้าไม่ต้องออกจากบ้านก็ตัดสินใจซื้อได้ รวมถึงการอัดฉีดทีมฝ่ายขายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับบริษัทอื่นๆ เรามองในมุมต่างคือต้องเดินหน้า ถอยหลังไม่ได้

อีกทั้งต้องให้กำลังใจฝ่ายขายอย่างเต็มที่ ประกอบกับแนวโน้มความต้องการซื้อบ้านหลังที่สองเพื่อพักตากอากาศสำหรับพักผ่อนและซื้อเพื่อการลงทุนในตลาดท่องเที่ยวมีดีมานด์เพิ่มขึ้นชัดเจน เพราะผู้ซื้อได้มองหาสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน  ซึ่งพัทยานับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักเพราะ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นทำให้การเดินทางสะดวก ด้วยเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง(มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด รวมไปถึงแหล่งชอปปิ้ง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้พัทยาเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจอันดับต้นๆ จากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เริ่มมีการเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆได้แล้ว แผนงานทุกอย่างที่เตรียมงานไว้ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ไตรมาสที่ 2 ยอดขายเติบโตขึ้นมาก จากไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ และ Vacation Home ที่ตอบโจทย์การการลงทุนและอยู่อาศัย ซึ่งสามารถสร้างยอดขายกว่า 515 ล้านบาท”

  อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์ต่อจากนี้เชื่อว่าเทรนด์การซื้อบ้านหลังที่สองในต่างจังหวัด ที่ใช้เวลาเดินทางไม่ไกลมากจากรุงเทพฯ เช่น พัทยา หัวหิน เขาใหญ่ จะเริ่มขายดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากสัญญาณบวก

ที่พบคือ ในช่วงที่มีวิกฤตบ้านหลังที่สองที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวติดทะเลจะทำยอดขายได้ดีมาก ทำให้มั่นใจได้ว่าเทรนด์นี้จะไปต่อได้อีกยาวจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะส่งผลให้ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในระยะสั้นชะลอการตัดสินใจลงทุน แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวยังคงเห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้านนี้ มากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจโรงแรมแม้ในภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมยังต้องจับตามองว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกเมื่อไหร่ แต่ในส่วนที่ ฮาบิแทท กรุ๊ป ดำเนินการอยู่นั้นเป็นตลาดเซ็กเม้นท์ที่มีความเฉพาะตัวเชิงไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ และด้วยปัจจุบันโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว แต่ละแห่งมีจำนวนห้องไม่ถึง 100 ห้อง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มาก จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

“ช่วงระหว่างเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม 2563 ที่รัฐบาลออกมาตรการสร้างระยะห่าง หรือ Social Distancing ทำให้ ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) ซึ่งเป็นพูลวิลล่าที่มีคอนเซ็ปต์เน้นความเป็นส่วนตัว ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ตลาด ทำให้มีคนเข้ามาพักมากขึ้น และหลังสถานการณ์โควิด-19 มีอัตราเข้าพักเพิ่มมากขึ้น ถึง 80% จากแนวโน้มนี้ทำให้เชื่อว่าในเดือนกรกฎาคม 2563 ตลาดจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่าธุรกิจโรงแรมที่นำเสนอไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัว สร้างความโดดเด่นได้ จะทำให้ได้รับการตอบรับได้อย่างมากเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว”

ยอดโอนเติบโตขึ้นกว่าสองเท่า

นายชนินทร์ กล่าวว่า แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่การขายและโอนกรรมสิทธิ์ของฮาบิแทท กรุ๊ป นับว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะอยู่ในช่วงการสร้างการรับรู้รายได้ เช่น ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) มีการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 100% อีกทั้งโครงการ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Bayphere Pattaya) โอนกรรมสิทธิ์แล้ว 100% ส่วนโครงการ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คลอเลคชั่น บลูเฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Collection Bluphere Pattaya) ก็มียอดขายแล้ว 100%  โอนกรรมสิทธิ์แล้ว 70% ในส่วนโครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา (Ramada by Wyndham Mira North Pattaya) ปัจจุบันทำยอดขายกว่า 60% และล่าสุดอีไอเอผ่านการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้

“ปีนี้เราสามารถทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้เยอะ โดยยอดรับรู้รายได้เฉพาะครึ่งปีแรกของปีนี้สามารถทำผลงานได้มากกว่าปีที่แล้วกว่า 2 เท่า จากปีที่แล้วทำรายได้ไว้ที่ 700 – 800 ล้านบาท ในขณะที่ปีนี้สามารถดันยอดโอนครึ่งปีแรกกว่า 1,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมียอดโอนครึ่งปีหลังอีกกว่า 1,300 ล้านบาท และจะทำให้บริษัทฯ มียอดโอนรวมในปี 2563 กว่า 2,500 ล้านบาท เติบโตกว่าปีที่แล้วถึง 220%” นายชนินทร์ กล่าว

 โดยในครึ่งปีหลัง 2563 ฮาบิแทท กรุ๊ป มีโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯที่สร้างเสร็จและเตรียมส่งมอบจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ เลอรอย ร่วมฤดี (LEROY Ruamrudee) มูลค่าโครงการ 205 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเตรียมส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้ในช่วงสิ้นปี 2563 ส่วนโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการขาย คือ วาลเด้น อโศก, วาลเด้น สุขุมวิท 39, วาลเด้น ทองหล่อ 8 และ วาลเด้น ทองหล่อ 13 ซึ่งนอกจากชูทำเล CDB แล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเรสซิเดนซ์อย่าง เจอาร์ อี ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ แจลุกซ์ จากประเทศญี่ปุ่นมาบริหารคอนโดมิเนียมแบรนด์วาลเด้นทุกโครงการอีกด้วย

ในภาพรวมของปีนี้ นายชนินทร์ กล่าวว่า บริษัทฯยังเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) อย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น   โดยที่แผนงานในปีหน้าได้มองถึงการขยายการพัฒนาเปิดตัวโครงการเพื่อการอยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอนาคต          

“วิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เชื่อว่าเรายังคงอยู่กับสภาวะความผันผวนเช่นนี้ต่อไป ยังไม่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีการระบาดของโควิด-19 รอบสองอีกหรือไม่ ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปต่อท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนเช่นนี้ นอกจากการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร การบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพแล้ว แผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น คือหนทางที่จะผ่านวิกฤตในครั้งนี้” นายชนินทร์กล่าว     

สำหรับผลงานที่ผ่านมา ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ โดยเป็นโครงการที่เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน (The Ville Jomtien), ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (X2 Vibe Pattaya Seaphere), ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2563 คือ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คลอเลคชั่น บลูเฟียร์ พัทยา(Best Western Premier Collection Bluphere Pattaya) และเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Bayphere Pattaya)

Political News