สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

เบี้ยประกันชีวิตรวมสิ้นเดือนสิงหาคมปี60เติบโต6.58%

นายพิชา สิริโยธิน  ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย  เปิดเผยว่า เบี้ยประกันชีวิตรับรวมตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคม 2560 รวมทั้งสิ้น 389,738.34 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ร้อยละ 6.58 โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 108,034.55 ล้านบาท และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 281,703.79 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 84 

โดยเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ ประกอบด้วย (1) เบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกจำนวน 65,798.16 ล้านบาท และ (2) เบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียวจำนวน 42,236.38 ล้านบาท

ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย  กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 สำหรับผู้มีเงินได้ที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี ควรเริ่มวางแผนทางการเงินเพื่อหักลดหย่อนภาษีได้แล้วในขณะนี้ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของภาครัฐ การซื้อประกันชีวิตก็เป็นหนึ่งในช่องทางที่ทำให้ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับการหักลดหย่อนภาษี รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครองภัยตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์แบบบำบาญ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น ซึ่งประกันชีวิตแบบบำนาญนี้เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว (RMF) ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

สำหรับการเสียภาษีในปีนี้ ถือเป็นข่าวดีของผู้มีเงินได้ที่เข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะมีสิทธิได้รับการหักลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันสุขภาพ เนื่องจากรัฐบาลมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ ที่ให้ประชาชนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยจะต้องเป็นเบี้ยประกันสุขภาพที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป ซึ่งการประกันสุขภาพที่กล่าวตามข้างต้น หมายถึง

1)            การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ

2)            การประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล

3)            การประกันภัยโรคร้ายแรง และ

4)            การประกันภัยการดูแลระยะยาว

มาตรการดังกล่าวข้างต้น สมาคมเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกด้าน ทั้งภาคธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมเพิ่มขึ้น จากการที่ประชาชนตื่นตัวในเรื่องการวางแผนสุขภาพ และเกิดแรงจูงใจในการซื้อสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีดังกล่าว ด้านผู้เอาประกันชีวิต ก็จะมีหลักประกันสำหรับดูแลตนเองในยามเจ็บป่วย เพื่อลดภาระตนเองและครอบครัว ตลอดจนลดการพึ่งพิงของภาครัฐในการแบกรับค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลของประชาชนลดลง ส่งผลให้รัฐบาลมีเงินไปพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนเพิ่มขึ้น

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายข้อมูลเพื่อการพัฒนาธุรกิจ สมาคมประกันชีวิตไทย โทรศัพท์ 0 2679 8080 ต่อ 532 หรือ Download ข้อมูลสถิติได้จาก http://www.tlaa.org/2012/statistics.php

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงาน คปภ. ผนึกพลัง 4 สมาคม จัดเรตติ้งพฤติกรรม “ตัวแทน-นายหน้าประกันภัย” พร้อมพัฒนาระบบแบ่งปันข้อมูลการฉ้อฉล

สมาคมประกันชีวิตไทยแนะเที่ยวสงกรานต์อย่างไรให้เปียกแค่กาย แต่อุ่นใจ

ภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิต - ประกันภัย ผนึกกำลัง รณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567

นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมเสวนาวิชาการ บทบาทของ AI กับอุตสาหกรรมประกัน โอกาส และความท้าทาย

สมาคมประกันชีวิตไทยเผยเบี้ยประกันภัยรับรวม ปี 66 เติบโต 3.61 % คาดการณ์ ปี 67 เติบโต 2 – 4 %

นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เข้าร่วมสัมมนา “หลักเกณฑ์ PDPA : ภาคธุรกิจ และ SMEs ต้องรับมืออย่างไร”

Political News