‘บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป’ หรือ ZEN เคาะราคาขาย IPO ที่ 13 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบัน พร้อมลงนามแต่งตั้ง บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หลักทรัพย์ หลังหนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อย เตรียมแผนลงทุนขยายสาขาร้านอาหารในไทยและต่างประเทศเต็มสูบ พร้อมตั้งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ ZEN ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของ บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จากนักลงทุนสถาบัน (Book Building) เมื่อวันที่ 4 – 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบัน โดยนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 13 บาท และมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและโอกาสการเติบโตในอนาคต จึงได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 13 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 7 – 8 และ 11 กุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าหุ้น ZEN จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 225 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยวัตถุประสงค์ระดมทุน เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายและปรับปรุงสาขาร้านอาหาร ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ ZEN กล่าวว่า ตั้งเป้านำบริษัทฯ ก้าวเป็นผู้นำของประเทศในธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส (Food Service) และกำหนดวิสัยทัศน์องค์กรเป็นผู้นำธุรกิจอาหารที่ได้รับความนิยมและความไว้วางใจจากลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยได้วางแผนขยายธุรกิจและปรับปรุงร้านอาหาร ธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ อย่างเต็มที่ หลังจากได้ลงทุนด้านระบบบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจเป็นที่เรียบร้อย โดยในปี 2562 บริษัทฯ วางแผนงานขยายร้านอาหารรวมประมาณ 123 สาขา แบ่งเป็นการขยายสาขารูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลง (พื้นที่ประมาณ 100 ตร.ม.) โดยกลุ่มบริษัทฯ 36 สาขา และให้สิทธิแฟรนไชส์ 87 สาขา ส่วนในปี 2563 บริษัทฯ วางแผนงานขยายร้านอาหารรวมประมาณ 225 สาขา แบ่งเป็นการขยายสาขารูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่โดยกลุ่มบริษัทฯ 50 สาขา และให้สิทธิแฟรนไชส์ 175 สาขา
ทั้งนี้ ธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจร้านอาหาร 2. ธุรกิจแฟรนไชส์ และ 3. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจบริการจัดส่งอาหาร (Delivery) และบริการจัดเลี้ยง (Catering) ธุรกิจให้บริการบริหารร้านอาหาร (Restaurant Management) และบริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับร้านอาหาร (Restaurant Consultancy) และธุรกิจอาหารค้าปลีก (Retail Business) เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง (Ready-to-Cook) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Ready-to-Eat) ซึ่งเป็นการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากการจำหน่ายในร้านอาหารมาต่อยอดเพื่อวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีร้านอาหารรวม 12 แบรนด์ แบ่งเป็น กลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่น 6 แบรนด์ ได้แก่ 1. ZEN ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม (Authentic Japanese Food) 2. Musha by ZEN ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ 3. Sushi Cyu Carnival Yakiniku ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม 4. AKA ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น (Yakiniku) 5. Testu ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม และ
- On the Table Tokyo Café ร้านอาหารประเภทไลฟ์สไตล์ และกลุ่มร้านอาหารไทยอีก 6 แบรนด์ ได้แก่ 1. ตำมั่ว ร้านอาหารไทย-อีสาน 2. ลาวญวน ร้านอาหารไทย-อีสานและเวียดนาม 3. แจ่วฮ้อน ร้านอาหารประเภทสุกี้ลาวหรือจิ้มจุ่ม 4. เฝอ ร้านก๋วยเตี๋ยวสไตล์เวียดนาม 5. de Tummour ร้านอาหารไทย-อีสานแบบพรีเมี่ยม และ 6. เขียง (Khiang by tummour) ร้านอาหารไทยตามสั่งหรือ Street Food แบรนด์ใหม่ที่นำเสนออาหารไทยจานเดียว โดยเปิดบริการสาขาแรกที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาเจษฎาบดินทร์ จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ มีร้านอาหารในไทยและต่างประเทศรวม 255 สาขา แบ่งเป็นกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารไทย 167 สาขา และกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น 88 สาขา ซึ่งในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นร้านอาหารที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ 110 สาขา และให้สิทธิแฟรนไชส์ 145 สาขา
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 (มกราคม – กันยายน 2561) มีรายได้รวม 2,226.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 108.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจแฟรนไชส์
“เรามีจุดเด่นด้านการเป็นผู้ให้บริการอาหาร (Food Services) อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทั้งธุรกิจร้านอาหารที่มีแบรนด์หลากหลาย สามารถตอบสนองผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับล่าง กลาง และบน และมีธุรกิจแฟรนไชส์ที่จะช่วยให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถขยายสาขาได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงยังมีการดำเนินธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างและจุดแข็งให้กับการดำเนินธุรกิจ ” นายบุญยง กล่าว