SCB WEALTH เปิดสินทรัพย์การลงทุน แม้ปีนี้เต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ผันผวนด้วยปัจจัยต่างๆที่กดดันตลาด สินทรัพย์ด้านการลงทุนของ SCB WEALTH ยังเติบโตกว่า 7% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่โต 4% ด้านสินเชี่อ Wealth   Lending เติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   ตั้งเป้าหมายใน3 ปีข้างหน้า  มุ่งครองอันดับหนึ่งใน3แกนหลัก ได้แก่ 1) เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า  2) ผู้นำด้านสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ และ 3) ผู้นำการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอสร้างผลตอบแทนให้ยั่งยืนแก่ลูกค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้าน SCB CIO แนะปีหน้าให้ระมัดระวังการลงทุน ควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ Investment Grade ส่วนตลาดหุ้น ทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth เช่น 7 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น และ อินเดีย  หุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมนำAIวิเคราะห์ข้อมูลเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าและยกระดับ WPlan แพลตฟอร์มดูแลความมั่งคั่งแบบครบวงจร  InnovestXมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัว3-4% ดัชนีหุ้นไทยพุ่งแตะ1,750 จุด

ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อนานเท่าใด แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEATH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน  ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด  ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย  เช่น  ผลิตภัณฑ์การลงทุนในสกุลเงินดอลล่าร์  ในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ Capped Floored Floater Note   หรือ Callable Note เป็นต้น สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวะดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มลูกค้า SCB WEALTH เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 4%  

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง  (Wealth   Lending  ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance)  เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้  และธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง  คาดการณ์ว่า รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Wealth ในปี2566 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในปีนี้ SCB WEALTH ยังคว้ารางวัลได้สูงถึง 11 รางวัลระดับโลก เป็นรางวัลที่โดดเด่นในการเป็น Digital Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และแพลตฟอร์มอัจฉริยะ มีการนำData มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน และดูแลพอร์ตลูกค้าที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เฉพาะลูกค้าแต่ละราย ซึ่งสามารถการันตีความเป็น "Digital Wealth with Human Touch" ได้อย่างแท้จริง

SCB Wealth มีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และธนาคารวางเป้าหมายในการเป็น “ดิจิทัลแบงก์อันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง” จะเป็น Thought partners ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าและจะอยู่กับลูกค้าทุกช่วงจังหวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า ใน 3 ปีข้างหน้าไว้ดังนี้ คือ 1) เป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้าด้วยการส่งมอบประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่ง ภายใต้กลยุทธ์ Digital Wealth  with Human  Touch 2) ผู้นำอันดับหนึ่งสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการในเชิงของผู้ให้คำปรึกษา (Advisory) เพื่อนำมาซึ่งการได้รับความไว้วางใจและเพื่อเป็น Main Wealth Bank ของลูกค้า และ 3) ผู้นำในการบริหารภาพรวมพอร์ตโฟลิโอเพื่อก้าวข้ามทุกความท้าทายและสร้างผลลัพธ์ด้านผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2566 นี้เป็นปีแห่งความผันผวน เริ่มต้นปีด้วยความกังวลเศรษฐกิจถดถอย มาสู่ปลายปีด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวแบบจัดการได้ ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและค้างนาน (Higher for longer) กำลังนำไปสู่ความคาดหวังว่าธนาคารกลางหลักจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย (Rate pause expectation) ส่วนประเด็นสงคราม ก็ยังมีทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ขณะที่การไหลออกของเงินทุนจากตลาดไทยไปต่างประเทศยังคงมีอยู่และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจน และล่าช้าออกไป

ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่เศรษฐกิจปี2567ที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ (Uneven slowdown) ทำให้นักลงทุนคาดหวังเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ส่วนความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง, ธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก อาจมีความเสี่ยงที่ต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก, ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลักๆ ที่จะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน และสภาพคล่องทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงจากการใช้นโยบายดูดเงินในระบบกลับออกมา (Quantitative Tightening : QT)

ด้วยเหตุผลนี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย โดยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น การทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ สามารถรองรับธุรกิจชะลอตัว และรักษาอัตรากำไรได้ดี เช่น 7 บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ อินเดีย ขณะที่ ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม

พอร์ตลงทุนที่แนะนำเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 7-10% กรณีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealth) รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน คือ แบ่งเงิน 15% ไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเลือกรับผลตอบแทนระหว่างรอแลกอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Dual Currency Note Pricing (DCI) ที่ให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการ เลือกลงทุนตราสารหนี้ 15% เน้นตราสารหนี้ระยะยาว ลงทุนในหุ้น 30% ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มคุณภาพ เติบโตสูง โดยควรมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสร้างผลบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในพอร์ตด้วย พร้อมกันนี้ควรลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Capped Floored Floater Noted ที่จำกัดผลตอบแทนต่ำสุด แลกกับการจำกัดผลตอบแทนสูงสุด 10% หุ้นกู้อนุพันธ์อื่นๆ 10% สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) 10% และสินค้าโภคภัณฑ์อีก 10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ

ด้านการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการลงทุนให้ลูกค้า ในส่วนของ SCB Easy เราได้นำเสนอบริการ Wealth4U โดยมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI)มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล พร้อมเปรียบเทียบทางเลือกการลงทุนที่ลูกค้าสนใจ เพื่อแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้ลูกค้า นอกจากนี้ เรายังพัฒนาบัญชีหุ้นกู้ SCB Easy-D ซึ่งสามารถเสนอขายครั้งแรก (IPO) ให้บุคคลธรรมดาบนสมาร์ทโฟน และรับฝากหุ้นกู้ผ่านช่องทางดิจิทัลแบบ 100% พร้อมกันนี้ เรายังเป็นธนาคารที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สามารถเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลกับนักลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม และสามารถซื้อขายกองทุนรวมจากหลากหลาย บลจ. ได้

ไม่เพียงเท่านี้เรายังมีแผนยกระดับ wPlan แพลตฟอร์มสำหรับให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลลูกค้าใช้งาน ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การนำเสนอโซลูชันดูแลความมั่งคั่งของลูกค้าแบบครบวงจรในแบบเฉพาะบุคคล เช่น การทำ Portfolio Allocation ออกแบบการจัดสรรสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตลงทุนตามแต่ระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล 2) การพัฒนาความสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคลมากขึ้น 3) การเพิ่มขีดความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนจากช่องทางการลงทุนที่หลากหลาย (Omni-Channel) ให้ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ และ 4) การยกระดับควบคุมระดับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับลูกค้า ควบคู่กับการมี 2 ช่องทางดิจิทัล ให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้สะดวกและง่าย ในการเรียกดู Statement การลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม WealthDIY และ Line โดย SCB WEALTH ซึ่งในอนาคตจะมีการยกระดับขีดความสามารถของ Line SCB WEALTH ให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละท่านมากขึ้นและสามารถรับสิทธิพิเศษเหนือระดับต่างๆ สำหรับลูกค้า Wealth ของธนาคารได้ผ่านช่องทางนี้

นายสุกิจ  อุดมศิริกุล  กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด  (INVX) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวนแต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปี 2023 เนื่องจากระดับ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (undervalue) โดยคาดว่า ตลาดยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีแรก และ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1,750 จุด

ปัจจัยที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2024 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันและ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ซึ่งมีความเสี่ยงกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทยมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เป็นปัจจัยที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบไม่รุนแรงมากเป็นเพียง Soft Landing หรือ Mild Recession ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2024 ช่วยสร้างโอกาสให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า   

ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจาก คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพิ่ม แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital wallet อยู่บ้างก็ตาม เนื่องจากโดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% สูงกว่าปี 2023 ที่ขยายตัวต่ำกว่า 3%  ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 10-15% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 2023 ที่ชะลอตัว 10%

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนในปี 2024  แบ่งออกเป็น 3  ประเภท   คือ 1) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มขนส่ง 2) กลุ่มที่ราคาลดลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ REIT/IFF 3) หุ้นที่ได้ ESG Score สูง  ระดับ AAA จาก SET แต่ราคาลดลงมามาก   

นอกจากนี้  INVX มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาให้บริการนักลงทุนบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสะดวก รวดเร็ว ในการเข้าถึงบริการด้านการลงทุนแบบครบวงจร เช่น การสร้าง Application ที่สามารถลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์เพียงแอปเดียวหรือตัวช่วยแจ้งข้อมูลข่าวสาร (Personalized Wealth Alert) ผ่านแอป InnovestX และ Streaming สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย และทาง INVX research ได้มีการนำเทคโนโลยี ChatGPT- Open AI มาช่วยพัฒนาการทำงานวิจัยทั้งในเชิงคุณภาพและเพิ่มปริมาณให้ครอบคลุมจำนวนหุ้นได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาจัดทำลดลง ล่าสุดประสบความสำเร็จในการจัดทำบทวิเคราะหุ้นต่างประเทศโดยใช้ ChatGPT ช่วยเขียนบทวิเคราะห์

นายอิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล  กรรมการและหุ้นส่วนอาวุโส  บริษัท บอสตันคอนซัลติ้ง กรุ๊ป  (BCG) กล่าวว่า จากการศึกษาของ BCG พบว่าตลาด Wealth Management ของประเทศไทยทั้ง onshore และ offshore จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เราพบว่ามี 4 เทรนด์หลักในธุรกิจ  Wealth  Management ที่พบในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ได้แก่ 1) ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth (HNW) มีความต้องการที่จะได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนส่งต่อมรดกให้ทายาทรุ่นถัดไปและการวางแผนเพื่อเตรียมการเกษียณ 2) สถาบันการเงินข้ามชาติ ทั้ง ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และบริษัทFintech ต่างๆเข้ามาประกอบการในธุรกิจนี้ส่งผลให้การแข่งขัน ในธุรกิจนี้ร้อนแรงขึ้นมาก 3) ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ที่ครบถ้วนและหลากหลายมากขึ้นรวมไปถึง การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ ที่เมื่อก่อนเข้าถึงได้แต่เฉพาะกลุ่มลูกค้า Ultra High Net Worth (UHNW) เท่านั้น และ4) ลูกค้าต้องการประสบการณ์ในการใช้บริการการบริหารความ มั่งคั่งแบบไร้รอยต่อ (seamless experience)  เช่น การจัดพอร์ตการลงทุน การค้นหาข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับการตลาดและผลิตภัณฑ์หรือหรือการทำรายการซื้อขายและมอนิเตอร์พอร์ตการลงทุน

          ทั้งนี้ BCG ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง   มีการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกและทำการวิจัยกับผู้บริโภคในหลายประเทศ  ซึ่งพบว่า เทคโนโลยีจะมีบทบาท มากขึ้นในการบริหารความมั่งคั่ง ทั้งนี้ เครื่องจักรหรือสมองกลจะไม่ได้มาแทนที่คนทั้งหมด ลูกค้า High Net Worth ต้องการการผสมผสานกันระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการได้รับความดูแลจากคนอย่างเช่น relationship manager (RM)  ซึ่งเทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยใน 5 เรื่องใหญ่ดังต่อไปนี้

1. ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้สามารถใช้บริการ wealth managementได้อย่างง่ายที่สุด (effortless) เช่น การทำ digital KYC, การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า
2. สร้างความโปร่งใส (transparent) เช่น wealth dashboard, family wealth view, benchmarks
3. ทำให้การบริหารความมั่งคั่งตรงใจและเฉพาะเจาะจง กับลูกค้าแต่ละท่าน (personalized) เช่นการสร้างเป้าหมายในการบริหารความมั่งคั่งการจัดวางพอร์ตการลงทุน
4. ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเชิงรุก (proactive) เช่น การส่ง alert และข้อความต่างๆ ให้ตรงกับลูกค้าแต่ละท่าน (personalized content)
5. ทำให้การใช้งาน ง่ายและสนุก (delightful) เช่น dynamic scenario planning, และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการคำนวณ เป็นต้นดร. สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์กฎหมายในปีหน้า ยังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บภาษีการรับมรดกที่อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่างประเทศ ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เมื่อเดือนกันยายน 2566 และ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ซึ่งมีผลให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 180 วันขึ้นไป  หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เช่น เงินปันผล กำไรจากการขายหุ้น ดอกเบี้ย และได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่าจะนำเข้ามาในปีใดก็ตาม จะต้องนำมารวมเสียภาษีในประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า โดยหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป  การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ  ทั้งนี้  Wealth Planning and Family  office  จึงขอแนะนำนักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ไปซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศหรือกองทุนไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ข้อดีคือผู้ลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากได้กำไรจากการลงทุน  แต่หากมีปันผลจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10

ในปีนี้ลูกค้ากลุ่มHNWให้ความสนใจเรื่องการสร้างความมั่งคั่งผ่าน Family Holding Company เพราะช่วยในการเก็บรวบรวมทรัพย์สินของครอบครัวเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนรวมทั้งยังช่วยแก้หรือลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจโดยสมาชิกครอบครัว การจัดโครงสร้าง Family Holding Company ที่ดีก็เหมือนการวางรากฐานของบ้านให้แข็งแกร่ง หากในอนาคตธุรกิจครอบครัวเจริญเติบโตขึ้น  และวางอยู่บนฐานของโครงสร้างที่ดีก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความแข็งแกร่ง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

SCB WEALTH sets ambitious goal to secure top spot in customers’ NPS, wallet share, and wealth portfolio growth within 3 years, focused on sustainable returns and quality advice

Harnessing AI for Data Analysis: Revolutionizing product offerings and elevating wPlan platform for comprehensive personalized wealth management solutions

SCB WEALTH has revealed robust investment asset growth, surpassing industry benchmarks with a 7% yoy growth amid a challenging economic landscape. Notably, wealth lendings have surged by over 70% compared to the previous year. The strategic focus for the next three years involves becoming a leader in three core areas: 1) Attaining the top of mind position in NPS by delivering exceptional wealth management experiences, 2) Becoming a leader in AUM, and 3) Leading in overall wealth portfolio management to ensure clients’ sustainable returns in the short and long term and resilient portfolio growth. In preparation for the upcoming years, SCB CIO urges caution in investment decisions. International investments should be carefully diversified, considering interest rate differentials favoring higher rates abroad. The emphasis is placed on strategic investments in high-quality assets, including government bonds and investment-grade bonds. In the stock market, the advice is to gradually accumulate stocks in quality growth segments in the US, Japanese, and Indian stock markets. Thai stocks will likely benefit from a robust economy buoyed by strong exports, a thriving tourism sector, and government stimulus measures, combined with attractive valuations. InnovestX projects a 3-4% expansion in the Thai economy for the upcoming year, contributing to the bullish sentiment as the Thai stock index surges to 1,750 points. For business strategic moves, SCB CIO is positioned to leverage AI for data analysis, tailor products that align with customer needs, complemented by the enhancement of wPlan, a comprehensive wealth management platform.

Dr. Yunyong Thaicharoen, Senior Executive Vice President and Chief Wealth Banking Officer at Siam Commercial Bank, emphasized the challenges faced in the global investment landscape this year. The world market has witnessed fluctuations in interest rates, heightened levels of inflation, and ongoing uncertainties related to geopolitical conflicts. Despite these challenges, SCB WEALTH remains dedicated to swiftly adapting its investment strategies to meet the evolving needs of customers. Currently boosting a Wealth and potential customer base exceeding one million individuals, the Bank, as a market leader, strategically selects and offers investment solutions tailored to prevailing market conditions. These solutions offer opportunities and address challenges, such as short-term low-risk USD debt instruments, USD money market funds, Capped Floored Floater Notes, and Callable Notes. They also cater to investors with varying risk tolerances and preferences, contributing to the growth of SCB WEALTH's investment assets under management by over 5%, surpassing the industry average growth rate of 3%. Presently, SCB WEALTH's Assets Under Management (AUM) exceed 1.6 trillion baht.

Moreover, SCB is poised to extend its wealth offerings with insurance products and wealth lendings (such as Property-Backed Loan and Lombard Loan), witnessing a remarkable 70% yoy growth in loan amounts compared to the previous year. The Bank's regular unit-linked insurance products have consistently held the top position in the bancassurance market for three consecutive years, commanding a market share of over 50% this year. The focus on efficient cost management has yielded continued growth in operating results, with expectations of double digit income growth from the Wealth Banking Business in 2023 compared to the previous year.

In recognition of its digital banking prowess, SCB WEALTH has received 11 global awards this year, celebrating excellence in innovation and an intelligent platform that utilizes data to analyze investment data and tailor customer portfolios. This achievement underscores SCB WEALTH's commitment to providing "Digital Wealth with a Human Touch."

Looking ahead, SCB WEALTH aspires to be the foremost choice for customers, aiming to become "The Number One Digital Bank in Wealth Management." The Bank seeks to be a trusted thought partner for customers at every investment stage, with a three-year plan focused on delivering value to customers. This includes 1) Attaining the top of mind position in Net Promoter Score (NPS) by delivering remarkable wealth management experiences to customers; 2) Achieving the number one spot in assets under management through advisory services, establishing a trust to become the primary wealth bank and securing the main wallet share; and 3) Emerging as a leader in overall customer portfolio management, adept at overcoming challenges and delivering results in returns for customers in both the short and long term with resilient portfolio growth.

Mr. Sornchai Suneta (CFA), Executive Vice President of SCB WEALTH's Investment Office and Product Function, has highlighted the prevailing volatility in 2023. Commencing with apprehensions of a recession, the year concludes with a manageable economic deceleration. The enduring trend of prolonged higher interest rates suggests a likelihood of major central banks pausing rate hikes. The geopolitical landscape is marred by the protracted Russian-Ukrainian conflict and the Middle East tensions, On the ground, policy uncertainty resulted in capital outflows from the Thai bond and equity markets.

Consequently, the unclear and delayed economic stimulus policy contributes to an anticipated disparate global economic slowdown in 2024, prompting investor expectations of interest rate cuts in the second half of the year. Key risks include the specter of stagflation, characterized by sluggish economic growth coupled with high inflation. Businesses with significant near-term debt maturities face the risk of rolling over loans at substantially higher interest rates, exacerbated by political uncertainties stemming from elections in major countries. These factors collectively should result in heightened volatility within the investment markets, with global liquidity diminishing due to the implementation of quantitative tightening (QT) policies aimed at withdrawing excess funds from the financial system.

In light of these challenges, a cautious investment approach is recommended. Investors are advised to diversify globally to capitalize on potentially higher returns driven by interest rate differentials. Priority should be given to high-quality assets, with a gradual allocation to government bonds and investment-grade bonds, while steering clear of high-yield bonds. In the stock market, a strategy of accumulating quality growth stocks is advocated—those exhibiting a robust balance sheet, consistent profit growth, resilience to economic slowdowns, and sustained profit margins. Notable markets for consideration include the US. Additionally, the Japanese and Indian stock markets are recommended, while the Thai stock market benefits from economic pillars such as exports, tourism, and government stimulus measures amid valuations deemed appropriate.

Recommended Investment Portfolio: For WEALTH customers seeking higher returns and comfortable with higher risks, SCB CIO suggests a diversified investment approach to target a 7-10% return. Allocate 15% of funds to a USD Foreign Currency Deposit (FCD) account or opt for Dual Currency Note Pricing (DCI) products, allowing returns while awaiting exchange at a preferred rate. The return on DCI depends on the chosen exchange rate. Devote 15% to long-term debt instruments, and invest 30% in high-quality, growth-oriented stocks, both in Thailand and internationally. Include stocks with positive Environmental, Social, and Governance (ESG) impacts in the portfolio. Allocate 10% to Capped Floored Floater Note derivative bonds for controlled returns, 10% to other derivative bonds, 10% to private assets, and 10% to commodities for risk hedging against uncertainties.

Embracing technology to enhance customer investments, SCB CIO is introducing the Wealth4U service on the SCB Easy application. This employs artificial intelligence (AI) to analyze data, offering tailored fund recommendations and comparing investment options. The SCB Easy-D bond account, available for Initial Public Offering (IPO) on smartphones, facilitates digital bond deposits. SCB is also authorized by the Bank of Thailand (BoT) to offer government bonds and trade mutual funds from various asset management companies.

Further technological advancements include upgrading the wPlan platform for relationship managers, focusing on four areas: 1) providing complete and personalized wealth management solutions, including portfolio allocation based on individual risk levels; 2) enhancing the ability to offer products tailored to each customer; 3) expanding the range of investment products through omnichannel access in a seamless manner; and 4) elevating risk control capabilities to align with customer preferences. We offer two digital channels, WealthDIY and Line platforms by SCB WEALTH, ensuring convenient access to investment information anytime, anywhere. Future upgrades to Line SCB WEALTH will cater to specific customer needs, offering varying levels of privileges for the Bank's Wealth customers through this channel.

Mr. Sukit Udomsirikul, Chief Research Officer at InnovestX Securities Co., Ltd., recently noted that the Thai stock market is expected to exhibit fluctuations throughout 2024. However, there is a potential for higher returns compared to 2023, as the current SET Index level is considered undervalued relative to the fundamentals. The market is anticipated to maintain high volatility in the first half of the year but improve in the second half, with an estimated SET Index target of approximately 1,750 points by the end of 2024.

Several factors contributing to market volatility include the escalating US-China conflict, the upcoming presidential election in Taiwan, the US presidential election, and the ongoing Russia-Ukraine and Israel-Hamas conflicts. These geopolitical risks are driving increases in food and energy prices. Additionally, global climate variability and the El Niño phenomenon in Thailand may impact the agricultural sector. While concerns about economic slowdown or recession exist, the market expects a soft landing or mild recession. There is also a possibility of US interest rates decreasing in 2H24, potentially attracting foreign capital to invest in emerging markets due to the depreciation of the US dollar.

Internally, factors supporting the Thai stock market include economic recovery, improved performance of listed companies, and anticipated concrete economic stimulus measures from the government. Despite some risks associated with digital wallet-based stimulus measures, the Thai economy is expected to expand by 3-4%, surpassing the growth rate of below 3% in 2023. Listed companies' operating performance is projected to grow by 10-15%, an improvement from the 10% slowdown experienced in 2023.

Regarding investment opportunities in 2024, industrial groups are categorized into three segments: 1) those with above-average performance growth, such as the retail, medical, and transportation segments; 2) those with price decreases due to rising interest rates but strong fundamentals, including the power plant business and REIT/IFF; and 3) Stocks with a high ESG Score at the AAA level from SET but experiencing significant price drops.

In addition, InnovestX (INVX) has developed technology to enhance services for individual investors, aiming to provide convenience and speed in accessing comprehensive investment services. This includes an application for investing in all assets within a single app and personalized wealth alerts via InnovestX and the Streaming application for investment in Thai stocks. INVX utilizes ChatGPT- OpenAI technology to enhance research qualitatively and quantitatively, covering a larger number of stocks and with reduced preparation time. The firm has successfully employed ChatGPT in preparing foreign stock analyses to support research efforts.

Mr. Isada Hiranwiwatkul, Managing Director and Senior Partner, and Head of BCG Thailand, revealed findings from a BCG study indicating that Thailand's Wealth Management market, both onshore and offshore, is projected to experience a growth rate of approximately 4.5% per year over the next 2-3 years. Four key trends have been identified in the Wealth Management business in Asia, including Thailand: 1. High Net Worth (HNW) customers are expressing growing interest in receiving advice regarding inheritance planning for their heirs and retirement planning; 2. Multinational financial institutions, spanning small, medium, and large enterprises, alongside fintech companies, are entering the Wealth Management sector, intensifying competition; 3. Customers are seeking more comprehensive and diverse advice, including access to products that were previously exclusive to Ultra High Net Worth (UHNW) clients; and 4. Customers are seeking a seamless experience in utilizing wealth management services, encompassing tasks such as managing and monitoring investment portfolios, accessing market and product updates, and conducting trading transactions.

 Leveraging technology for wealth management, BCG collaborates with leading financial institutions globally and conducts consumer research in numerous countries. The study underscores the increasing role of technology in wealth management, emphasizing that machines and artificial intelligence will not entirely replace human involvement. High Net Worth clients prefer a combination of technology and human interaction, facilitated by relationship managers (RMs). Technology contributes significantly to the following five areas:

1. Simplifying customer interactions with effortless wealth management services, including digital KYC processes and risk appetite assessments.
2. Establishing transparency through tools like a wealth dashboard, family wealth view, and benchmarks.
3. Tailoring wealth management experiences for each customer by setting individual goals and arranging personalized investment portfolios.
4. Anticipating and responding to customer needs proactively, delivering personalized content that aligns with individual preferences.
5. Elevating service usage experience with features like dynamic scenario planning and various tools for calculations, ensuring a delightful overall experience.

Dr. Sathit Pongthanya, First Senior Vice President of Wealth Planning and Family Office at Siam Commercial Bank, has stressed that legal trends for the upcoming year necessitate adherence to various laws to address evolving changes, such as inheritance taxes and land and building taxes. This ensures that tax collection aligns with the prevailing circumstances while also contributing to the reduction of societal inequality.

Regarding the foreign investment tax law, the Revenue Department issued directives No. Por. 161/2023 in September 2023 and No. Por. 162/2023 on November 20, 2023. These directives impact investors who are natural persons residing in Thailand for 180 days or more. If there is income from abroad, such as dividends, capital gains, or interest, and the money has been brought into Thailand, regardless of the year of repatriation, it must be included in the tax payment in Thailand for that year. Taxes are to be paid at progressive tax rates. This new rule applies to income generated from January 1, 2024, onward. Changes to this regulation may affect investors with overseas investments. The Wealth Planning and Family Office recommends that Thai investors consider investing through Thai mutual funds that acquire assets abroad or Thai funds investing in foreign funds. The advantage is that investors are exempt from personal income tax on profits from their investments, but dividends are subject to a 10% tax.

In the current year, High Net Worth (HNW) customers have shown interest in wealth creation through Family Holding Companies. Such structures help preserve family assets for sustainable wealth transfer and address potential issues arising from family members' business operations. Therefore, establishing a robust Family Holding Company is akin to laying the foundation of a sturdy house. If the family business expands in the future, it will be built upon a sound Family Holding Company structure, reinforcing the overall resilience of the family business.