สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

“แสนสิริ”โชว์9เดือนกำไรสุทธิ4,760ล้านบาทQ4 เปิด22โครงการ มูลค่ารวม 3.6 หมื่นล้าน

o แสนสิริ (SIRI) ร่วมสร้างความแข็งแกร่งภาคอสังหาฯ รักษาระดับการเติบโตตามแผน

o เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 66 กำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท สูงกว่ากำไรปี 65 ทั้งปี  และคาดว่าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

o รายได้รวมอยู่ที่ 28,047 ล้านบาท เติบโต 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่ได้รับการตอบรับที่ดี

o เดินหน้าต่อไตรมาส 4 เปิดตัว 22 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท รองรับความต้องการทุกเซกเมนต์

o ไตรมาสสุดท้ายผลงานหนุน จากความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ และปัจจัยไฮซีซั่นของการซื้อที่อยู่อาศัย บวกลูกค้าเร่งโอนก่อนมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ สิ้นสุดปลายปี มุ่งสู่การสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

   นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เบอร์ต้นของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยแสนสิริมีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) เป็นกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 3 จำนวน 1,557 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนโดยเฉพาะการร่วมทุนกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น และการควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งแสนสิริมีแผนพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ มากขึ้นในอนาคต และที่สำคัญคือกำไรในงวด 9 เดือนนี้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 39 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปีก่อน (2565) ที่ 4,280 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้

   ขณะที่รายได้รวมรอบ 9 เดือน อยู่ที่ 28,047 ล้านบาท (คิดเป็น 70% ของเป้าทั้งปี ที่ 40,000 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้รวมเฉพาะไตรมาส 3/66 ที่ 9,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่แสนสิริเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯ ในระดับลักซ์ชัวรี อาทิ นาราสิริ พหลฯ – วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ที่ทำยอดขายดีเกินคาด และบูก้าน เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ชั้น ใน Sansiri Luxury Collection ทั้งโครงการบูก้าน กรุงเทพกรีฑา และบูก้าน พัฒนาการ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงเศรษฐสิริ ดอนเมือง โครงการแรกจากการรุกแบรนด์บ้านเดี่ยวเศรษฐสิริ 10 โครงการใหม่ในปีนี้ ที่ทำผลงานการเริ่มต้นการรุกแบรนด์ได้ดี รวมถึงกระแสตอบรับที่ดีจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ หรือ Ready to Move เป็นอีกหนึ่งสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียม และเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในตลาด Real Demand ในไตรมาส 3 แสนสิริ เปิดโครงการเนีย บาย แสนสิริ เป็นโครงการ Ready to Move ซึ่งสามารถขายและรับรู้รายได้ได้ทันที  

   นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากเป้ารายได้ทั้งปีที่ 40,000 ล้านบาท ซึ่งงวด 9 เดือน เราบันทึกรายได้รวมไปแล้ว 28,047  ล้านบาทนั้น รายได้ที่เหลืออีกราวๆ 12,000 ล้านบาท จะมาจาก Backlog ของบ้านและคอนโดมิเนียมที่ขายแล้วและกำลังทยอยส่งมอบ รวมถึงจากการขายโครงการใหม่ อาทิ เนีย บาย แสนสิริ และเศรษฐสิริ 5 โครงการใหม่”

“ในช่วงสุดท้ายของปี คาดว่าจะมีปัจจัยบวกจากการที่ลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อและโอนที่อยู่อาศัย ก่อนหมดอายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในปลายปี อีกทั้งเป็นช่วงสำคัญจากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ รวมถึงการจัดแคมเปญต่างๆ ของผู้ประกอบอสังหาฯ และสถาบันการเงิน จะช่วยกระตุ้นยอดขายปลายปีได้  โดยแสนสิริเตรียมความพร้อมรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในทุกเซกเมนต์ ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 4 รวม 22 โครงการ มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 14 โครงการแนวราบ 24,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 11,600 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าแสนสิริ จะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายวิชาญ กล่าว

   แสนสิริ “SIRI” ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ในระดับ AA  และติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงแนวคิดของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) โดยการลงทุนในหุ้นยั่งยืนนี้ เป็นเทรนด์การลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนทั่วโลกที่ใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น ควบคู่ไปกับผลประกอบการทางธุรกิจ

 

 

Political News