สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

บลจ.อีสท์สปริง เชื่อหุ้นปันผลโลกทำผลงานได้ดีต่อเนื่องพร้อมเปิดขายกองทุน ES-GDIV

บลจ.อีสท์สปริง เชื่อหุ้นปันผลโลกยังทำผลงานได้ดี แม้เงินเฟ้อผ่านจุดพีค แต่จะยังคงตัวในระดับสูง แนะลงทุนกองทุนหุ้นปันผลโลก พร้อมชวนคว้าโอกาสลงทุน กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Dividend Equity Fund หรือ ES-GDIV เปิดขาย 23 - 27 มกราคมนี้

บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จัดงานสัมมนาออนไลน์ "Building Resilience in a Reset World ลงทุนหุ้นทั่วโลก พร้อมโอกาสรับปันผล” ร่วมกับทาง JPMorgan Asset Management (JPMAM) เพื่อเปิดตัวกองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Dividend Equity Fund เมื่อเร็ว ๆนี้

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “แม้ภาวะการลงทุนทั่วโลกจะยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตามอง ทั้งอัตราเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่เราเชื่อมั่นว่าปีนี้ยังคงเป็นปีที่มีโอกาสการลงทุนที่หลากหลายรออยู่ โดยหนึ่งในการลงทุนที่อีสท์สปริงนำเสนอในครั้งนี้ เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง สามารถจ่ายเงินปันผลได้ แม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมา”

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า มุมมองด้านการลงทุนของอีสท์สปริงในปี 2566 จะยังคงมีความผันผวนอยู่ โดยในช่วงไตรมาสแรก การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังคงกดดันภาวะการลงทุนอยู่ ถึงแม้ว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ลดลงแล้วก็ตาม แต่การที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้ อาจส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลกดีขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างมากลงได้ เปิดช่องให้เฟดมีช่องว่างที่จะปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกได้

“ประเมินว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯจะค่อย ๆปรับลงอย่างช้า ๆ แต่คาดว่าเฟดจะยังคงมีแถลงการณ์ที่แข็งกร้าวต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากหากเปลี่ยนโทนเร็วเกินไปอาจกระตุ้นให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจว่าภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนของสหรัฐฯจะกลับมาดีขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้ออาจกลับมาได้อีก ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯในไตรมาสแรกจะยังมีความผันผวนอยู่ โดยเป็นการปรับตัวขึ้นบ้างในกรอบแคบ ๆ จนกว่าเฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าน่าจะจบที่ปลายไตรมาสแรกของปีนี้”

ขณะที่ในไตรมาส 2 มองว่าหลายสินทรัพย์ในหลายประเทศมีความน่าสนใจ เนื่องจากได้รับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง รวมถึงประเด็นเศรษฐกิจถดถอยไปมากแล้ว ซึ่งน่าจะเห็นภาพการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังไตรมาสแรกของปี 2566 ไปแล้ว และในปีนี้อาจเห็น Country Rotation โดยคาดว่านักลงทุนจะเริ่มปรับสัดส่วนไปลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงขาลงจำกัดกว่า ซึ่งโดยรวมในปีนี้ อีสท์สปริงยังคงให้น้ำหนักในหุ้นทั่วโลก สหรัฐฯ จีน และเอเชีย รวมถึงให้ความสำคัญกับหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และจ่ายเงินปันผลสูง เพื่อเป็นตัวรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นช่วง ๆ

นอกจากนี้ นายอนิส เทียศิริ Executive Director, Southeast Asia Funds, JPMorgan Asset Management (JPMAM)  ได้กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่สินทรัพย์ต่าง ๆล้วนได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน การทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน

แต่ในปีนี้ทาง JPMAM เชื่อว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว โดยราคาน้ำมันและอาหารมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงอย่างช้า ๆ แต่ยังคงอยู่เหนือระดับคาดการณ์ของธนาคารกลางที่ 2% ในช่วงสิ้นปีนี้ ด้วยเหตุที่ค่าที่พักและค่าจ้างแรงงานในสหรัฐฯและยุโรปนั้นยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงโดยง่ายจึงเชื่อว่าเงินเฟ้อจะยังคงตัวในระดับสูงต่อไป

สำหรับสถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้นั้น จะเห็นได้ว่าในช่วงที่เงินเฟ้อสูงอย่างในปีที่ผ่านมานั้น หุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลได้นั้น แสดงว่าตัวบริษัทเองมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง หรือตีความได้ว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นคุณภาพนั่นเอง ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้หุ้นปันผลมีโอกาสสร้างผลงานได้ดีต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อจะยังคงปรับลดลงอย่างช้า ๆ และอยู่ในระดับที่สูงจนถึงสิ้นปี

สำหรับกองทุน ES-GDIV ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) นำเสนอในครั้งนี้ นายปณิธาน ศรีอินทร์ ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ ได้ให้รายละเอียดว่า เป็นกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงกองทุนอยู่ระดับที่ 6 เน้นลงทุนในกองทุนหลัก คือ JPMorgan Global Dividend Fund – Class C (acc) USD เพียงกองทุนเดียว  ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายเน้นการลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกที่มีคุณภาพและมีการเติบโตของอัตราการจ่ายปันผลที่ดี และมีเป้าหมายสร้างพอร์ตโฟลิโอที่สามารถจ่ายปันผลมากกว่าตลาดในระยะยาว โดยใช้การวิเคราะห์รายบริษัท รวมถึงกรอบการจ่ายเงินปันผล ในการเฟ้นหากิจการคุณภาพ  โดยมีจำนวนหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะลงทุนอยู่ราว 40-90 บริษัท และมีการกระจายการลงทุนไปในหลายภูมิภาค ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 มีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐ 58.4% สหภาพยุโรป 17.6% และสหราชอาณาจักร 5.7%

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ การมีหุ้นปันผลอยู่ในพอร์ตจะช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนของตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถานการณ์การลงทุนยังมีความไม่แน่นอน เพราะการให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นสไตล์ใดสไตล์หนึ่งมากเกินไป อาจทำให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

Political News