สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

ตลาดบ้านสร้างเองปี66 มูลค่าแตะ 2 แสนล้าน

        นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคม ไทยรับสร้างบ้านเปิดเผยถึง ปริมาณตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปี 2565 (มิใช่ บ้านจัดสรร) มีมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาทเศษ แบ่งเป็นบ้านสร้างเองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท และต่างจังหวัด มูลค่า 1.55 แสนล้านบาท

         สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านหรือกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ประเมินว่าผู้บริโภคเลือกใช้บริการสร้างบ้านทั่วประเทศ มูลค่าราว 2.4 - 2.5 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็น 12% ของมูลค่ารวมตลาดบ้านสร้างเอง (2 แสนล้านบาท) โดยกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านมีส่วนแบ่งตลาดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มูลค่า 1.4 - 1.5 หมื่นล้านบาท และแชร์ตลาดในต่างจังหวัด คิดเป็นมูลค่า 1.0 - 1.1 หมื่นล้านบาท

         เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศในสัดส่วนที่เหลืออีก 88% (กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านมีส่วนแบ่ง 12%) หรือคิดเป็นมูลค่า 1.75 - 1.76 แสนล้านบาท ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้บริการกับผู้รับเหมาสร้างบ้านรายย่อยและผู้รับเหมาทั่วไป ในอีกมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นโอกาสดี สำหรับกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านที่จะเพิ่มแชร์ส่วนแบ่งหรือขยายตลาดได้อีกมาก หากสามารถสร้างความเข้าใจและผู้บริโภคเข้าถึงได้สะดวก โดยเฉพาะตลาดบ้านสร้างเองในต่างจังหวัดมูลค่าอีกกว่า 1 แสนล้านบาท

         สำหรับ มูลค่าตลาดบ้านสร้างเองปี 2566 สมาคมฯ คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 1.8 - 2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ประเมินว่ามูลค่าตลาดที่ยังทรงตัวนั้น เป็นผลมาจากราคาต่อหน่วยที่สูงขึ้นตามต้นทุนก่อสร้างและราคาบ้าน (จำนวนหน่วยลดลง) ในส่วนของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน สมาคมฯ คาดว่าจะมีส่วนแบ่งจากมูลค่าตลาดบ้านสร้างเอง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด มูลค่าประมาณ 2.5 - 2.6 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

         อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่อาจจะฉุดรั้งมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านให้ชะลอตัว อาทิเช่น ความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจประเทศ การรุกขยายตลาดของกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรรรายใหญ่ในต่างจังหวัด การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร เป็นต้น

         ทั้งนี้การแข่งขันของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านตลอดปี 2565 พบว่าแข่งขันไม่รุนแรงมากนัก หากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เหตุเพราะว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ต่างมีความกังวลต่อสถานการณ์และความผันผวนของต้นทุนก่อสร้าง ทั้งในส่วนของค่าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปัญหาแรงงานขาดแคลนและค่าแรงฝีมือที่ปรับสูงขึ้น โดยรูปแบบการแข่งขันหลัก ๆ แบ่งได้ 5 ลักษณะคือ 1.แข่งขันราคา 2.แข่งขันสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ 3.แข่งขันนำเสนอดีไซน์บ้านที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง 4.แข่งขันด้านบริการแบบ One Stop Service 5.แข่งขันขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการ

         อย่างไรก็ตามในปี 2566 สมาคมฯ ประเมินว่ารูปแบบการแข่งขันยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่การแข่งขันขยายพื้นที่ให้บริการจะเป็นการขยายสู่จังหวัดเมืองรองมากขึ้น และในการแข่งขันด้านบริการแบบ One Stop Service ก็จะเห็นภาพชัดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 เหตุผลเพราะพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ตามเทคโนโลยีการอยู่อาศัยที่พัฒนาตอบโจทย์ได้มากขึ้น ทำให้การสร้างบ้านมีระบบดูแลชีวิตหรือสุขภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันรวมเข้าไว้ด้วย รวมถึงพฤติกรรมและแนวคิดของผู้บริโภคที่มองว่าไม่จำเป็นว่าต้องมีที่อยู่อาศัยหรือสร้างบ้านอยู่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น       

         นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมฯ กล่าวอีกว่า กูรูเศรษฐกิจจากหลายสำนัก คาดการณ์ว่าโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศไทย ยังคงต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยภาครัฐตั้งเป้าดึงดูดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในปี 2566 ไว้สูงถึง 20-25 ล้านคน ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายและทำได้สำเร็จหรือใกล้เคียง ภาคประชาชนและผู้บริโภคก็คงจะมั่นใจกับทิศทางเศรษฐกิจหรือมี

ความหวังมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจประเทศก็มีโอกาสขยายตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ

         "ปี 2566 อาจนับได้ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านอีกปีหนึ่ง ทั้งไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการสร้างบ้านที่ให้มากกว่าแค่ที่พักอาศัยทั่วไป ฉะนั้นความพยายามจะรักษาหรือเพิ่มแชร์ส่วนแบ่งตลาดทั่วประเทศ จึงจำเป็นที่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านควรจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยคำนึงถึง 5 ปัจจัยสำคัญ ๆ อันได้แก่ 1.การยกระดับมาตรฐานการสร้างบ้านและอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ 2.กำหนดตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายขององค์กรให้ชัดเจน 3.การขยายพื้นที่ให้บริการหรือการขยายสาขา 4.เน้นแข่งขันเชิงคุณภาพและบริการ อันเป็นการสร้างความแตกต่างจากผู้รับเหมาสร้างบ้านรายย่อยทั่วไป และสุดท้าย 5.คุณภาพบ้านกับราคาต้องสมเหตุสมผล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Political News