สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

ซีไอเอ็มบี ไทย โชว์กำไรสุทธิ งวด 6 เดือน ปี 2565ที่2,115.5 ล้านบาท เติบโต 121.6%

    รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 178.9 ล้านบาท (+26.7YoY) จากการเพิ่มขึ้นของ ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย

    รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 417.3 ล้านบาท (-8.2%) จากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ   

    ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 229.7 ล้านบาท (-7.4% YoY) จากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น 

    อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงาน ปรับตัวดีขึ้น ลดลงจาก 56.3% มาอยู่ที่ 52.8% YoY

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,115.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,160.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 121.6 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2564 สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 7.4 และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 63.7 ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 1.3

            รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดหกเดือนปี 2565  มีจำนวน 7,105.7 ล้านบาท ลดลงจำนวน 94.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 417.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ    ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 178.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.7 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของ ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย   รายได้อื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 143.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9 ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและรายได้อื่น สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของขาดทุนจากเงินลงทุน

            ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนปี 2565 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 ลดลงจำนวน 229.7 ล้านบาทหรือร้อยละ 7.4 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 52.8 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 56.3

            อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดหกเดือนปี 2565     อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ

            วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 220.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564   กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 282.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 จากสิ้นปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 239.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 77.8 จากร้อยละ 88.5       ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564

            สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.7 สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในงวดหกเดือนปี 2565 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้

            อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 114.3  ลดลงจากสิ้นปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 117.5  ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 7.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

            เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 มิถุนายน 2565มีจำนวน 53.8 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.6 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 15.7

Political News