สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โชว์ผลการดำเนินงานตามนโยบาย BCG งานทดสอบระบบมาตรฐานทางราง การตอบโจทย์/ เสริมศักยภาพเกษตรกร ผู้ประกอบการ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ต้อนรับ “ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และคณะ ในโอกาสติดตามการดำเนินงานขององค์กร โดยมี ดร.พสุ โลหารชุน ประธานคณะกรรมการบริหาร วว. คณะกรรมการบริหาร ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. พร้อมทั้งคณะผู้บริหารและบุคลากร ร่วมให้การต้อนรับและรายงานความสำเร็จ ความก้าวหน้าการดำเนินงาน ในวันที่ 16 กันยายน 2563 ณ วว. เทคโนธานี คลองห้า จังหวัดปทุมธานี
“ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มอบนโยบายการดำเนินงานให้ วว. ความโดยสรุปว่า การดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของ วว. มีประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ และมีการเชื่อมโยงงานวิจัยไปยังภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้การดำเนินงานของ วว. ในก้าวต่อไป หากมีการจัดทำโครงการเป็นแพคเกจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งการแก้ไขปัญหาความยากจน แก้ปัญหาความห่างไกลทุรกันดาร แก้ปัญหาการขาดโอกาสของแต่ละพื้นที่ ก็จะทำให้ผลงานของ วว. มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากมีการเชื่อมโยงการดำเนินงานกับกระทรวงอื่นๆให้มากขึ้น ก็จะมีการใช้ประโยชน์จากผลงานของ วว. หลากหลายขึ้นและเป็นที่ต้องการของกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะทำให้บทบาทของ วว. เป็นศาสตร์ที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
“...จุดแข็งของ วว. คือ มีการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม เป็น Appropriate Technology ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงและมีประโยชน์ในระดับเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การดำเนินงานด้าน BCG ที่มีการเพิ่มมูลค่าของเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ที่ทำให้ วว. มีงานวิจัยซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้นำไปใช้มากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs วิสาหกิจชุมชนและภาคอุตสาหกรรม ดีใจได้เห็นความก้าวหน้าทางด้านนี้ สามารถทำให้เกิดมูลค่าสูงอ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะช่วยทำให้มีรายได้ เนื่องจากรัฐบาลมีการส่งเสริมงานวิจัยที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจน ในด้านจุลินทรีย์ วว. มีผลงานหลากหลายน่าสนใจ การทดสอบมาตรฐานระบบรางที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ ช่วยลดต้นทุนการผลิต มีการผลิตบุคลากรด้านการทดสอบ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลและประเทศต่างๆ มีการขับเคลื่อนด้านนี้ ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของกระทรวง อว. ที่เป็นกระทรวงแห่งโอกาส...” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าว
สำหรับผลงานความสำเร็จของ วว. ที่ได้จัดแสดงนิทรรศการนำเสนอต่อ ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ และคณะ ประกอบด้วย
1.ฐานข้อมูลจุลินทรีย์และการนำไปใช้ประโยชน์ วว. โดย ศูนย์จุลินทรีย์ (TISTR Culture Collection) มีวัตถุประสงค์ในการเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหาร ยา เกษตร และสิ่งแวดล้อมแบบนอกถิ่นกำเนิด โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์ในระดับชุมชน และอุตสาหกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Functional food) ผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และเวชสำอางจากจุลินทรีย์ เพื่อมุ่งเน้นการเสริมสร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการแบบยั่งยืน
2.โพรไบโอติก วว. โดย ศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรม (ICPIM) มีการดำเนินงานวิจัยพัฒนาเพื่อนำเชื้อจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ครบวงจร ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ ทดสอบจุลินทรีย์โพรไบโอติกมาตรฐาน ISO/IEC 17025, คลังเก็บรักษาสายพันธุ์โพรไบโอติก (Probiotic Bank) ที่เป็นแหล่งรวบรวมและเก็บรักษาจุลินทรีย์โพรไบโอติกประจำถิ่นที่มีศักยภาพ, ห้องปฏิบัติการเฉพาะทางภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 2 (Biosafety Level 2) สำหรับงานวิจัยพัฒนาเพื่อคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีศักยภาพกับอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ และอาหารนม และระบบกระบวนการผลิตเชื้อจุลินทรีย์ตามมาตรฐานการผลิตที่ดี (Good Manufacturing Practice : GMP) เพื่อการผลิตจุลินทรีย์โพรไบโอติกสำหรับนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม
3.สารชีวภัณฑ์ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ใช้ในทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช ผลิตปุ๋ยชีวภาพ และ ควบคุมแมลง-โรค ศัตรูพืช ช่วยในการลดการใช้สารเคมี สนับสนุนระบบเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์
4.ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ (BioD) เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบฯ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับหน่วยรับรองผลิตภัณฑ์ระดับสากลทั้งในและต่างประเทศ (เยอรมนีและสหรัฐอเมริกา) เพิ่มโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
5.เห็ดเพื่อชุมชน วว. วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเห็ดมายาวนาน โดยเฉพาะการเพาะเห็ดเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเห็ดทั่วไปสามารถเพาะได้โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ขี้เลื่อนไม้ยางพารา ฟางข้าว เป็นต้น ซึ่งวิธีการเพาะจะต้องเตรียมก้อนเชื้อเห็ด วว.ได้มีโครงการ อว.สร้างงานโดยรับคนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19 ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติจริงให้แก่บุคคลดังกล่าว เป็นการสร้างอาชีพในอนาคต
“ เห็ดป่าไมคอร์ไรซา” เป็นหนึ่งในเห็ดหลายชนิดที่ วว. ได้วิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน เป็นเห็ดที่เจริญในดิน มีความสามารถอยู่ร่วมกับรากพืช ในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน โดยต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ มีบนบาทสำคัญในการช่วยให้กล้าไม้เจริญเติมโตและแข็งแรงทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้การปลูกป่าไม้ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้ยังสามารถเพาะได้เองในพื้นที่สวนหลังบ้านของตนเองได้ด้วย ในอนาคตก็จะสามารถที่จะทำเห็ดป่านอกฤดูได้ด้วย เป็นการสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกร ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เห็ดป่าที่ วว. วิจัยและพัฒนาอยู่ในขณะนี้ คือ เห็ดเพาะ เห็ดตับเต่า และเห็ดระโงก
6.ลำตะคองโมเดล เมืองน่าอยู่ และฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ (PROSEA) นำเสนอฐานข้อมูลความหลากหลายทางด้านชีวภาพ โครงการสำรวจรวบรวมทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือโครงการ Prosea นำไปสู่การอนุรักษ์พืชประจำถิ่นในพื้นป่าสะแกราช การปลูกอนุรักษ์นอกถิ่นในพื้นที่สถานีวิจัยลำตะคอง สู่การต่อยอดงานวิจัยการพัฒนาพันธุ์พืชพื้นบ้าน เช่น มะขามเปรี้ยวยักษ์ มะขามป้อม มะเม่า ผักหวานป่า ผักกูดเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนสร้างงาน สร้างอาชีพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ นอกจากนั้นยังมีการนำแมลงมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร โดยใช้ชันโรงช่วยในการผสมเกสรในสวนกาแฟ ทำให้ติดผลดีขึ้น และได้กาแฟที่มีรสชาติจำเพาะ และการเลี้ยงไส้เดือน เพื่อใช้ในการย่อยเศษอาหารจากครัวเรือน ได้เป็นปุ๋ยอินทรีย์
7.Success case นวัตอัตลักษณ์ วว. มุ่งส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือแบบเพื่อนช่วยเพื่อนในชุมชน มีการแบ่งปันอุปกรณ์ แบ่งปันความรู้ โดยประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาดั่งเดิมที่ชุมชนมี แล้วนำมาผสมผสานกับภูมิปัญญาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ที่ วว. ได้สั่งสมองค์ความรู้วิจัยพัฒนาขึ้น โดยมุ่งดำเนินงานเพื่อสร้าง “นวัตอัตลักษณ์” หรือความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในแต่ละชุมชน เพื่อนำไปสู่การค้าการขาย การสร้างอาชีพสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิดดำเนินงาน “แชร์ ใช้ ทุกคนได้ประโยชน์” โดยมุ่งดำเนินงานร่วมกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน รวมทั้งประชาสังคมในชุมชนที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบ 4 ประสาน (Quadruple Helix) เพื่อทำให้เกิดความยั่งยืนของชุมชน เพิ่มรายได้ ยกระดับชุมชน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ขับเคลื่อนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ให้มีช่องทางเข้าถึง วทน. ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการเชิงพื้นที่ได้อย่างชัดเจน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดและค้าขายได้จริง ซึ่งเป็นการพัฒนางาน วทน. อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังมุ่งสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและชุมชนในระดับฐานราก โดย วว. มุ่งเน้นแนวคิดการแปรรูปผลิตผลจากทรัพยากรท้องถิ่นให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมในท้องถิ่น โดยนำนวัตกรรม ปัญญา เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เข้าไปมีส่วนสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่
8.บรรจุภัณฑ์เพื่อการจำหน่ายผลไม้สดออนไลน์ วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา “นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” ได้แก่ 1.) นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” 2.) บรรจุภัณฑ์เพื่อการจำหน่ายมะม่วงออนไลน์ และ 3.) บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รับวิถีชีวิตใหม่ NEW Normal จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและขนส่ง รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ทำให้มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพสูงในประเทศจำนวนมากที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวทันเวลา ส่งผลให้เกิดความสูญเสีย เนื่องจากไม่มีตลาดรองรับ จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดหาหรือเพิ่มช่องทางจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
9.Success case การจัดการขยะชุมชนด้วย วทน. อบต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี นำเสนอความสำเร็จการดำเนินโครงการต้นแบบในการจัดการขยะชุมชนขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยรองรับปริมาณขยะชุมชนไม่เกิน 50 ตันต่อวัน และมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะชุมชนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เน้นการเพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบวัตถุดิบรอบสองที่มีคุณภาพ เน้นการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีไทย อาทิ เทคโนโลยีการดับกลิ่นด้วยระบบโอโซนและสารดูดซับ เทคโนโลยีการคัดแยกชนิดและสีพลาสติกด้วยระบบ NIR ร่วมกับ Vision เทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพและไบโอมีเทนอัดถังเพื่อใช้เป็นพลังงานความร้อน เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และสารปรับปรุงดิน และเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงขยะคุณภาพสูงทดแทนถ่านหิน เป็นต้น
10.พลังงานชีวมวล วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม มีงานวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2557 ได้เริ่มโครงการ “การแก้ไขปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมและขยะชุมชนโดยเทคโนโลยีสะอาด (Plasma) ในพื้นที่” ในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนร่วมกับการแก้ไขปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมไปด้วย การดำเนินงานของศูนย์สาธิตการผลิตพลังงานทดแทนจากชีวมวลและขยะ มุ่งเน้นการถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการให้สามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง และต่อยอดองค์ความรู้และงานวิจัยด้านพลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มศักยภาพความเข้มแข็งด้านพลังงานทดแทนของประเทศ ตั้งอยู่ ณ สถานีวิจัยลำตะคอง โดยศูนย์สาธิตฯ ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1.) ระบบคัดแยกและใช้ประโยชน์จากขยะชุมชนและของเหลือทิ้งทางการเกษตร สามารถรองรับขยะชุมชน ได้ 50 ตัน/วัน และผลิตสารปรับปรุงดิน ได้ 2 ตัน/วัน 2.) ระบบผลิตก๊าซชีวภาพและบำบัดน้ำกลับมาใช้ซ้ำ เป็นเทคโนโลยี 2-stages Anaerobic Baffle Reactor สามารถรองรับขยะอินทรีย์ ได้ 10 ตัน/วัน และเครื่อง generator ที่มีขีดความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่ที่ 200 KW 3.) ระบบผลิตก๊าซชีวมวลด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชัน แบบสามขั้นตอน (3-stage gasification) รองรับวัตถุดิบได้มากสุดที่ 10 ตัน/วัน และเครื่อง generator ที่มีขีดความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่ที่ 200 KW
11.เซรามิก ยางพารา และบล็อกประสาน วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับวัสดุสุขภาพและการแพทย์ การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับวัสดุพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้บริการวิเคราะห์ทดสอบสมบัติของวัสดุเซรามิก แร่ พลาสติก พอลิเมอร์ ยางพารา ทางด้านกายภาพ ทางเคมีและทางกล
12.ไม้ดอก ไม้ประดับ วว. และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวมทั้งพันธมิตร ร่วมดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับ ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SMEs ปี 2563 ให้แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดเลย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดนครราชสีมา เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพไม้ดอกไม้ประดับให้แก่ผู้ประกอบการ ช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมไปถึงความร่วมมือจากภาคเอกชน ที่สนับสนุนขับเคลื่อนคลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผลการดำเนินงานร่วมกันสามารถสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่ได้รับการพัฒนาและเชื่อมโยงในรูปแบบคลัสเตอร์ จำนวน 30 คลัสเตอร์ มีผู้ประกอบการได้รับการพัฒนาองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ 4,246 ราย และสามารถลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจหรือมีการขยายตัวในทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 472.12 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และคณะ ยังได้เยี่ยมชม ศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรม (ICPIM) และศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของประเทศด้านการทดสอบรับรองคุณภาพระบบขนส่ง ด้านระบบขนส่งที่ครอบคลุมทั้งด้านระบบรางและส่วนเชื่อมต่อกับการขนส่ง เช่น รถไฟขนส่งสินค้า รถไฟฟ้าในเมือง รถบรรทุกสินค้า ยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อสนับสนุนด้านความปลอดภัยในการใช้งานระบบขนส่งทางรางและเสริมขีดความสามารถผู้ประกอบการในการทดแทนการนำเข้าชิ้นส่วนระบบราง นอกจากนี้ยังสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบราง รวมถึงให้การฝึกอบรมและส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในส่วนวิศวกรรมระบบราง เช่น วิศวกรและนักศึกษา คณาจารย์รวมถึงผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนรถไฟ