สำนักข่าวไทยไทม์นิวส์ • ThaitimeNews
loader
Foto

ผลวิจัยใหม่ชี้คนเมียนมาสนใจคุณภาพสินค้ามากกว่ายี่ห้อ

ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวเมียนมาชี้ นักลงทุนไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคในเมียนมาควรใชกลยุทธ์การเพิ่มยอดขายและสร้างความไว้วางใจในผลิตภัณพ์ในระยะยาวด้วยการเจาะกลุ่มประชากรเมียนมายุคมิลเลนเนียล  นอกจากนี้นักการตลาดชาวไทยที่มองหาการเติบโตในเมียนมาควรเข้าใจว่ากลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลมุมมองที่มีลักษณะเฉพาะในการเข้าถึงแบรนด์และธุรกิจต่างๆ

วีโร่ บริษัทตัวแทนด้านการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อดิจิทัล และงานการสื่อสารที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ชั้นนำที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยเผยแพร่ผลการสำรวจที่ชื่อว่า Who Are Myanmar Millennials? (WAMM?) ซึ่งจัดทำโดยบริษัท อินโดไชน่า รีเสิร์ช และสามารถดาวน์โหลดผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้ที่

งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า ประชากรเมียนมากลุ่มที่เรียกว่ามิลเลนเนียลหันมาสนใจคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์มากกว่าชื่อแบรนด์เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน

 ประชากรมิลเลนเนียลชาวเมียนมาส่วนใหญ่หรือคิดเป็นร้อยละ 54 มองเรื่องคุณสมบัติการใช้งานของผลิตภัณฑ์และบริการเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รวมถึงความเป็นเก่าแก่และเรื่องราวของแบรนด์อีกด้วย

 “มิลเลนเนียล” คือกลุ่มคนที่เกิดในระหว่างปี พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2543 ปัจจุบันในประเทศเมียนมามีชาวมิลเลนเนียลอยู่ราว 16.6 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 33 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ กลุ่มคนเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล จึงเชื่อกันว่าพวกเขาจะเป็นผู้สร้างเทรนด์ต่างๆ และเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของพฤติกรรมต่างๆ ในสังคม

 นายไบรอัน กริฟฟิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วีโร่ กล่าวว่า “ผลสำรวจนี้เผยให้เห็นพลังของประชากรชาวมิลเลนเนียลของเมียนมาที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ตลาดและส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของครอบครัว ผลสำรวจยังชี้อีกว่าประชากรเมียนมายุคมิลเลนเนียลส์ไม่ได้คอยดูทิศทางหรือตามผู้ใหญ่เสมอไป พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียในการกระจายข่าว ซึ่งส่งผลต่อการอุปโภคบริโภคของคนในครอบครัวและแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบ”

 ประชากรมิลเลนเนียลชาวเมียนมาไม่ได้ให้ความสนใจถึงความภักดีต่อแบรนด์หรือคำสัญญาของแบรนด์มากนัก เมื่อเทียบกับมิลเลนเนียลในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ โดยมีมิลเลนเนียลชาวเมียนมาเพียงร้อยละ 46 เท่านั้นที่บอกว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ตรงกันข้ามกับมิลเลนเนียลในประเทศลาวและกัมพูชาที่สนใจแบรนด์มากถึงร้อยละ 72 และ 73 ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ประชากรมิลเลนเนียลชาวเมียนมา ร้อยละ 54 มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าโดยคำนึงการใช้งานของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นๆ ผลสำรวจ WAMM ของวีโร่ แสดงให้เห็นว่า สำหรับพวกเขาแล้วปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเทศแหล่งต้นกำเนิดผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี ความคุ้มค่า และรางวัลระดับนานาชาติ มีความสำคัญมากกว่าความนิยมหรือความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์

 นางสาวภัทร์นีธิ์ จีริผาบ รองประธานบริหารวีโร่ประจำภูมิภาคอาเซียนกล่าวว่า “มิลเลนเนียลชาวเมียนมาเชื่อว่าการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งช่วยหล่อมหลอมตัวตนของพวกเขา พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมโลกและชีวิตสมัยใหม่ที่เห็นมาจากโลกออนไลน์ การเข้าใจว่ากลุ่มคนมิลเลนเนียลมองแบรนด์อย่างไร ถือเป็นโอกาสสำคัญในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในตลาดเมียนมาที่มีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ยังเป็นเหมือนการได้สร้างเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับคนรุ่นใหม่นี้อีกด้วย”

 ผลสำรวจอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจจาก WAMM ของวีโร่ครั้งนี้คือ ประชากรมิลเลนเนียลของเมียนมาร้อยละ 66 ให้ความสำคัญของโซเชียลมีเดียในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น โซเชียลมีเดียเป็นเสมือนแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่มีอิทธิพลมากกว่าครอบครัว เพื่อน และอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ผลการสำรวจยังเผยว่า เฟสบุ๊ค เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงอิทธิพลต่อประชากรมิลเลนเนียลชาวเมียนมามากที่สุดในขณะนี้ (ร้อยละ 99) ตามมาด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ

 ซู ซู เตว่ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์และปฏิบัติการกล่าวว่า “เฟสบุ๊คเป็นประตูสู่เว็บไซต์ต่างๆ สำหรับชาวเมียนมา และยิ่งสำคัญกว่ามากสำหรับชาวมิลเลนเนียลเพราะการตัดสินใจซื้อของพวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเฟสบุ๊ค กลยุทธ์โซเชียลมีเดียที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักการตลาดในประเทศเมียนมา”

Political News